วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จดหมายถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

พระราชหัตถเลขาที่สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาเผยแพร่ ดิฉันเห็นว่าข้อความในพระราชหัตถเลขา มีประโยชน์มากต่อการดำเนินชีวิต และจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงปฏิบัติธรรม และเข้าถึงธรรมขั้นสูงอย่างแท้จริง จึงได้คัดลอกนำมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้

ลูกพ่อ

ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่างหรือความดีนั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือ รักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้ พ่อขอบอกลูกดังนี้

๑. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่าเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต
๒. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
๓. มีความสันโดษ คือ มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือ ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลม จะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
๔. มีความมั่นคงแห่งจิต คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ให้ภาวนาว่า ...มีลาภ มียศ สุข ทุกข์ ปรากฏ สรรเสริญ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฏธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า "ชั่งมัน"

พ่อ ๖/๑๐/๒๕๔๗

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชปรารภทิ้งท้าย

.....ฉันหวังว่า คำสอนของพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน

ฉันรักพ่อฉันจัง
สิรินธร

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การทำบุญให้ทาน

ถ้าบุคคลจะทำบุญพึงทำบ่อย ๆ ควรทำความพอใจในบุญนั้น เพราะการสั่งสมบุญเป็นเหตุให้เกิดสุข

พระพุทธภาษิต

อภัยทาน

พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ อภัยทาน ดังนั้น ถ้าผู้ใดทำผิดแล้วไม่ขอโทษ ท่านปรับอาบัติ แต่ถ้าเขาขอโทษแล้ว ผู้ถูกขอโทษไม่ให้อภัย ท่านปรับอาบัติเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อมีผู้มาขอโทษ เราควรให้อภัย

อีกประการหนึ่ง อภัย แปลว่า ไม่มีภัย ท่านจึงสอนให้เราไม่เบียดเบียนใคร นับเป็นอภัยทานด้วย

และการแผ่เมตตาจิตให้แก่ทุกคน สรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นการแผ่อภัยทานออกไป ทำให้เกิดความสุข

การให้อภัยเป็นของฟรี แต่ให้ยาก หากถ้าเราฝึกบ่อย ๆ เมตตาแก่ทุกคนว่าเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในสังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิดนี้ แล้วจิตใจของเราจะอ่อนโยนลง สุขสงบ และให้อภัยได้

พระพุทธเจ้าทรงแสดง สุขสมุทัย เหตุแห่งสุข ๓ อย่าง
๑. พึงให้ทาน คือช่วยเหลือกัน
๒. พึงสุจริต ประพฤติสุจริต
๓. พึงเจริญเมตตาจิต

รวมแล้วมี ๓ อย่าง ข้อแรกคืิอทาน สุจริตคือศีล เจริญเมตตาจิตคือ ภาวนา ทำครบ ๓ อย่างแล้วจะมีความสุข

การทำสังฆทาน

สังฆทาน คือ การถวายสิ่งของแก่พระภิกษุสงฆ์ โดยไม่เจาะจงว่าจะเป็นพระรูปใด

การให้โดยเจาะจงว่าเป็นพระรูปนั้น ๆ เรียกว่า ปาฏิปุคลิกทาน ได้บุญเหมือนกัน แต่ได้บุญน้อยกว่าสังฆทาน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทานที่ให้เจาะจง เรากล่าวว่าเป็นปาฏิปุคลิกทาน ปาฏิปุคลิกทานใด ๆ จะมีผลเท่าสังฆทานไม่ได้เลย"

เมื่อเราไม่ได้เจาะจงพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะแล้ว ก็ถือเป็นสังฆทานทั้งสิ้น เรียกว่ามีการเจาะจงหรือไม่เจาะจงเป็นใจความสำคัญของสังฆทาน

ตอนเช้า ตักบัตรให้พระ ๑ รูป ที่บิณฑบาตผ่านมา ก็เป็นสังฆทาน
ตอนสาย ไปวัด หย่อนเงินลงตู้ทำบุญค่าน้ำค่าไฟ ก็เป็นสังฆทาน เพราะให้พระใช้ได้ทั้งวัด ไม่เลือกพระองค์ใด
ตอนเพล พระนั่งล้อมวงเป็นร้อยรูป ญาติโยมไปใส่บาตรให้ท่าน ๓ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง หรือทั้งร้อย ก็เป็นสังฆทาน

อยากทำบุญด้วยผ้าไตรสักชุดหนึ่ง ก็จัดเตรียมแล้วไปหาพระ เมื่อพบองค์ใดก็ถวายท่าน ก็สำเร็จเป็นสังฆทาน

สังฆทาน อยู่ที่เจตนาเจาะจงหรือไม่เจาะจง ไม่ได้อยู่ที่จำนวนพระ และไม่ได้อยู่ที่รายชื่อสิ่งของ บางคนคิดว่าการถวายสังฆทาน คือต้องเป็นถังสีเหลือง ใส่ข้าวสาร ผงซักฟอก ไม่ขีัดไฟ สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ นั้นเป็นเพียงของสำเร็จรูปที่คนค้าขายเขาจัดไว้ให้เพื่อขายเท่านั้น ปัจจุบันข้าวของเครื่องใช้บางทีมีมากมายจนล้นเหลือ พระไม่ได้ใช้ บุญก็ไม่เกิดแก่ผู้ให้ แต่พระต้องใช้น้ำใช้ไฟ การจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ายารักษาโรค จึงเป็นบุญ เพราะมีประโยชน์แก่พระสงฆ์โดยรวม

ในการทำสังฆทาน ท่านสอนให้เรา "ทำใจให้ยินดีในบุญกุศล ไม่ให้ยินดีในบุคคลผู้รับ ทำใจให้ตรงแน่วต่อคุณของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ทานอย่างนี้มีผลมาก เพราะเป็นการขัดเกลาจิตใจของตนไปด้วย" ที่ท่านสอนเช่นนี้ เพราะเราชอบมัวแต่ละล้าละลัง กังวลว่าผู้รับจะดีหรือไม่อย่างไร คือกลัวมาทำให้บุญเรามีตำหนินั่นแหละ (ที่แท้ก็รักตัวเอง) เลยเศร้าหมอง ท่านจึงสอนให้เพ่งที่ได้ทำบุญกุศล ได้ขัดเกลาจิตใจตนเองเป็นหลัก

ให้อะไรได้อะไร โดย อ.วิศิน อินทสระ

ให้อะไรได้อะไร

เทวดาทูลถามพระพุทธองค์ว่า ให้อะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้อะไรชื่อว่าให้ผิวพรรณ ให้อะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้อะไรชื่อว่าให้จักษุ ให้อะไรชื่อว่าให้ทุกอย่าง

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ผู้ให้ข้าว(น้ำ) ชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อว่าให้ผิวพรรณ ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีป (ไฟ) ชื่อว่าให้จักษุ ให้ที่อยู่อาศัย ชื่อว่าให้ทุกอย่าง ผู้ใดสอนธรรม ผู้นั้นชื่อว่าให้สิ่งที่ไม่ตาย (อมตะ)

(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๕ ข้อ ๑๓๗-๑๓๘)

๑. ผู้ให้ข้าวน้ำชื่อว่าให้กำลัง

ข้าวน้ำ หรืออาหารเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เมื่อขาดอาหารก็ขาดกำลัง ถ้าขาดหลาย ๆ วัน กำลังก็สิ้นไป ถึงกับต้องสูญเสียชีวิตก็มี ก่อนจะสิ้นชีวิตก็มีความทุกข์ทรมานมาก เพราะความหิวโหยอ่อนเพลีย ความจำเสื่อม ความรู้สึกฟั่นเฟือน เพราะขาดอาหารที่เปลี่ยนเป็นเลือดและน้ำตาลไปเลี้ยงสมอง ความหิวเป็นโรคอย่างหนึ่ง และเป็นโรคประจำตัวของทุกคนที่รักษาไม่หายขาด ทำได้แต่เพียงบำบัดให้ทุเลา หรือหายไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น วันหนึ่ง ๆ จะต้องบำบัดกันถึง ๒-๔ ครั้ง หรือมากกว่านั้น และจะต้องทำไปตลอดชีวิต ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งต้องการอาหารที่ละเอียดประณีตมากขึ้น และอาจบ่อยขึ้นด้วย เพื่อไปซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอทรุดโทรม เหมือนเครื่องยนต์เก่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษามากขึ้น เปลืองไปทุกอย่างทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบนซินและค่าซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมอื่น ๆ ความหิว ความต้องการอาหารจึงเป็นโรคประจำตัวของคนทุกคน พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง" (ชิคัจฉา ปรมา โรคา)

สำหรับผู้สูงอายุ โดยหลักโภชนาการที่ถูกต้องแล้ว ควรบริโภคอาหารให้น้อยลง เพราะไม่จำเป็นต้องบริโภคเพื่อความเจริญเติบโตของร่างกายแล้ว และควรเลือกบริโภคอาหารอ่อน ย่อยง่าย ไม่เป็นอาหารที่มีรสจัด การบริโภคมากเกินความต้องการของร่างกายทำให้อ้วนมากเกินไปจนเป็นโรคอ้วน ซึ่งโดยปกติธรรมดา เมื่ออ้วนแล้วลดได้ยาก บางคนลดได้ แต่ต้องใช้กำล้ังใจควบคุมตัวเองอย่างแรงทีเดียว บางคนผอมเพราะขาดอาหารอันจำเป็นเท่าที่ร่างกายต้องการ แต่บางคนผอมเอง แม้จะบริโภคมากพอสมควรก็ไม่อ้วน อยากให้อ้วนพยายามกินอาหารกินยาเท่าไร ๆ ก็ไม่อ้วน อันนี้ไม่ทราบเพราะอะไร

อย่างไรก็ตาม ทุกคนเป็นอยู่ได้ด้วยอาหาร (สัพเพ สัตตา อาหารัฏฐิติกา) เมื่อได้อาหารที่ถูกต้องเหมาะสมก็ทำให้มีกำลังเพื่อดำรงชีวิตอยู่และประกอบกรณียกิจอันเป็นหน้าที่ของตน การให้อาหาร จึงชื่อว่าเป็นการให้กำลังและให้ชีวิตด้วย

๒. ผู้ให้เสื้อผ้าชื่อว่าให้ผิวพรรณ

เสื้อผ้าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับชีวิตเพื่อบำบัดความหนาวร้อนเป็นต้น เมื่ออากาศภายนอกหนาวจัด การได้เสื้อผ้าที่เหมาะสม ย่อมทำให้ร่างกายอบอุ่นมีความสุข ถ้าไม่ได้จะทำให้ผิวแตกและอาจทำให้เกิดโรคหลายอย่าง เช่น โรคหวัด โรคปอดบวม เป็นต้น เมื่อร้อนจัดเพราะแดดแรง เสื้อผ้าช่วยป้องกันการไหม้เกรียมของผิวหนัง และการลอกของผิวหนังได้ สำหรับผู้อยู่ในที่แจ้ง เืสื้อผ้าช่วยป้องกันสัตว์ร้ายที่จะมารบกวน เช่น เหลือบ ยุง บุ้ง ริ้น ตลอดถึงสัตว์เลื้อยคลานอื่น ๆ เช่น ตะขาบและงูพิษ เป็นต้น

นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว เสื้อผ้าที่สวยงามทำให้ผิวพรรณของผู้สวมใส่ดูเปล่งปลั่ง มีสง่าราศี มีเสน่ห์ ผิดกับผู้ที่ีใส่เสื้อผ้ากระมอมกระแมม เรื่องนี้เป็นที่ปรากฏชัดเจนแก่คนทุกคนอยู่แล้ว สตรีโดยทั่วไป รักสวยรัุกงาม จึงสนใจพิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ยิ่งกว่าชาย การได้เสื้อผ้าที่สวยงามเป็นความพอใจอย่างยิ่งอย่างหนึ่งของหญิง ในหลักการสงเคราะห์ภรรยา พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สามีให้เครื่องแต่งกายแก่ภรรยาด้วย แต่สามีส่วนมากก็มักละเลยข้อนี้เสีย นอกจากผลดีในปัจจุบันดังกล่าวแล้ว การให้เสื้อผ้าหรือเครื่องนุ่งห่มเช่นจีวรแก่พระภิกษุผู้มีศีล ยังจะส่งผลให้เป็นคนสวย มีผิวพรรณงามในชาติหน้าอีกด้วย เช่น อุมมาทันตี ในอุมมาทันตีชาดกเป็นต้น นางอุมมาทันตี เกิดมาเป็นคนสวยมาก มีผิวพรรณงาม ใครเห็นใครหลง เพราะอานิสงส์ที่เคยถวายจีวรแก่ภิกษุรูปหนึ่ง

๓. ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข


การเดินทางไกลต้องอาศัยยานพาหนะ เช่น รถ เรือ เป็นต้น ถ้าไม่ได้ยานเช่นนั้น การเดินทางด้วยเท้าลำบากมาก เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า โดยเฉพาะผู้มีกำลังน้อย เช่น เด็กและคนชรา บางคนถึงเท้าแตก พองเป็นแผลเดินต่อไปไม่ได้ เป็นลมสิ้นสติไปก็มี การเดินทางไกลเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง แต่ถ้าได้ยานพาหนะที่เหมาะสมก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้มาก แม้จะนั่งไปแต่ถ้านานเกินไป เป็นวันเป็นคืนก็เป็นความทุกข์อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงต้องเดิน รองเท้าท่านจัดเป็นยานอย่างหนึ่งเหมือนกัน การเดินเท้่าเสี่ยงอันตรายมาก ร้อนเท้าเมื่อแดดจัด หนาวเท้าเมื่อฝนตกหรือผ่้านที่แฉะ นอกจากนี้ อาจเหยียบเศษแก้ว หนาม หรือแม้ก้นบุหรี่ที่มีผู้โยนทิ้งไว้ ทำให้เท้าพุพองเป็นแผลและเป็นทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

มนุษย์คงได้เห็นความทุกข์ยากลำบากในการเดินทางมามากต่อมากแล้ว จึงได้คิดทำยานพาหนะชนิดต่าง ๆ ขึ้น และได้วิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนถึงยานอวกาศในเวลานี้ เดินทางได้อย่างรวดเร็วทันใจ แต่มีอันตรายแฝงอยู่ด้วยมิใช่น้อย

การเดินทางโดยอาศัยยานพาหนะ ย่อมก่อให้เกิดความสุขกว่าการเดินด้วยเท้า เพราะฉะนั้นการให้ยานชื่อว่าให้ความสุข ร่มจัดเป็นยานอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะเป็นเครื่องมือในการเดินทาง ผู้หวังความสุข จึงควรเอื้อเฟื้อผู้อื่นด้วยยานพาหนะตามสมควร เช่น ช่วยรับส่งผู้อื่น ให้รองเท้า ให้ร่มเป็นต้น เมื่อสิ่งนั้ินไปให้ความสุขแก่ผู้อื่น ความสุขนั้นย่อมยอกย้อนมาหาผู้ทำ สมดังพระพุทธภาษิตที่ว่า

"สุขัสส ทาตา เมธาวี สุขัง โส อธิคัจฉติ - ผู้มีปัญญาให้ความสุข (แก่ผู้อื่น) เขาย่อมได้รับความสุขเป็นสิ่งตอบแทน"

๔. ให้ประทีป (แสงสว่าง) ชื่อว่าให้จักษุ

เมื่อเราอยู่ในที่มืด เราจะมองไม่เห็นอะไร แม้มีตาดีก็ตาม แสงสว่างทำให้เรามองเห็นรูปหรือวัตถุต่าง ๆ ได้ แสงสว่างนั้นเกิดจากหลายอย่าง เช่น จากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ไฟฟ้า ไฟที่อาศัยเชื้ออื่น ๆ อีกมาก ซึ่งทำให้เกิดแสงสว่างได้ เมื่อมีแสงสว่างและบุคคลมีจักษุดีย่อมสามารถเห็นรูปได้ การให้แสงสว่าง เช่น ประทีป
โคมไฟ ไฟฉาย ไฟฟ้า เป็นต้น จึงชื่อว่าให้จักษุ อนึ่ง แม้มีแสงสว่างอยู่ แต่บุคคลไม่มีจักษุ คือตาบอด ก็ย่อมไม่เห็นอะไรเหมือนกัน การเห็นจึงต้องอาศัยจักษุและแสงสว่างทั้งสองอย่าง

แสงสว่างคือพระธรรมของพระพุทธเจ้า หรือของท่านผู้รู้ทั้งหลาย จะช่วยทำให้เกิดจักษุภายในหรือตาใน เรียกว่า ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปัญญาจักษุ ดวงตาคือปัญญา การให้ธรรมและการให้ปัญญาจึงเป็นการให้จักษุเหมือนกัน แต่เป็นธรรมจักษุและปัญญาจักษุ

ในสมัยปัจจุบัน ไฟฟ้าเป็นแสงสว่างที่ใช้กันทั่วไป การบริจาคทรัพย์เพื่อเสียค่าไฟฟ้า จึงเป็นการให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น ความสว่างไสวแห่งชีวิตจิตใจย่อมมีแก่ผู้ให้

๕. ให้ที่อยู่อาศัยชื่อว่าให้ทุกอย่าง

ที่อยู่อาศัยที่ดีช่วยคุ้มแดดฝน คุ้มสัตว์ร้าย ช่วยให้ปลอดภัยทุกอย่าง เป็นที่เก็บข้าว น้ำ เสื้อผ้า อาหารชนิดต่าง ๆ ทำให้อยู่เป็นสุข การให้ที่อยู่อาศัยจึงชื่อว่าให้ทุกอย่าง อนึ่ง เสนาสนทาน คือการให้ที่อยู่ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่า เลิศ หรือมีอานิสงส์ยิ่งกว่าอามิสทานใด ๆ บรรดาการให้ปัจจัย ๔ เสนาสนทานเป็นเลิศ

อาจเป็นด้วยเหตุนี้ พุทธศาสนิกชนไทยจึงนิยมสร้างเสนาสนะอุทิศสงฆ์ ซึ่งจรจากทิศต่าง ๆ เช่น กุฏิ วิหาร ศาลาการเปรียญ โบสถ์ และศาลาพักคนเดินทาง เมื่อสร้างเสนาสนะแล้วก็บริจาคปัจจัุยอื่น ๆ เป็นบริวาร เช่น อาหาร จีวร ยารักษาโรค ประทีป โคมไฟ เป็นต้น นี่ก็พออธิบายได้ว่า การให้ที่อยู่อาศัยเป็นการให้ทุกอย่าง

ต่อไปนี้เป็นมติของพระอรรถกถาจารย์

พระอรรถกถาจารย์ ผู้อธิบายพระสูตรนี้ได้อธิบายว่า ผู้ให้ที่อยู่อาศัยชื่อว่าให้ทุกอย่าง มีการให้กำลังเป็นต้น เช่น เมื่อภิกษุเดินบิณฑบาตไป ๒-๓ บ้านแล้วไม่ได้อะไรกลับมาวัด อาบน้ำเสร็จแล้วเข้าไปในที่พักอาศัย นอนพักบนเตียงเสียสักครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่ง ย่อมได้กำลัง (เสนาสนะ ให้กำลังแทนข้าวน้ำ)

เมื่อออกไปภายนอก ร่างกายถูกลมแดด ย่อมทำให้ผิวพรรณคล้ำไป เมื่อกลับมาจากข้างนอกแล้ว ผิวชุ่มเย็นดีย่อมผ่องใส (เสนาสนะให้ผิวพรรณ)

เมื่อออกไปภายนอก ย่อมเสี่ยงอันตรายหลายอย่างเช่น อันตรายจากหนาม ตอไม้ งูและโจร เป็นต้น แต่เมื่อเข้าอยู่ในที่พักอาศัยแล้ว อันตรายเหล่านั้นย่อมไม่มี เมื่อท่องบ่นพระธรรมวินัยอยู่ ปีติสุขย่อมเกิดขึ้ัน เมื่อมนสิการกรรมฐาน ความสุขสงบย่อมเกิดขึ้น (เสนาสนะให้ความสุึข)

เมื่อออกไปภายนอก ร้อนจนเหงื่อไหล นัยน์ตาฝ้าฟาง กลับเข้ามาพักในที่อยู่อาศัยเสียสักระยะหนึ่ง ตาก็แจ่มใสขึ้น (เสนาสนะให้จักษุ)

เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ผู้ใดให้ที่อยู่อาศัย ผู้นั้นชื่อว่าให้ทุกอย่าง คือให้กำลัง ผิวพรรณ ความสุข และดวงตา

๖. ผู้สอนธรรม ชื่อว่าให้สิ่งไม่ตาย (อมตะ)

การให้ปัจจัย ๔ คือ อา่หาร เครื่องนุ่งห่ม เสนาสนะ และยารักษาโรค แม้จะดีวิเศษอย่างไร ก็ไม่พ้นต้องเวียนเกิดเวียนตาย และเวียนทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นในสังสารวัฏไม่สิ้นสุด จนกว่าจะได้รู้ธรรมอันเป็นเครื่องอาศัยออกจากวัฏฏะ ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายและเวียนทุกข์อีกต่อไป เมื่อไม่เกิดก็ไม่ตาย การไม่เกิดนี้ เพราะไม่มีกิเลสคื่อตัณหาอันนำไปสู่ภพ การสิ้นตัณหาต้องอาศัยการฟังธรรมประพฤติธรรมเพื่อละตัณหา เช่น การสำรวมอินทรีย์ ๖ เป็นต้น ผู้สอนธรรมเพื่อดับตัณหาเป็นต้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ให้สิ่งที่ไม่ตาย (อมตธรรม)

ความเิกิดเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความต้องพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ เป็นต้น เพราะความเกิดเป็นเหตุ จึงมีรายละเอียดแห่งทุกข์อื่น ๆ ติดตามมาเป็นขบวนยาวเหยียด

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

จิต มาร กิเลส โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ผู้เขียนเห็นว่าบทความธรรมะนี้น่าสนใจ สามารถนำมาใช้ขัดเกลากิเลสได้ และเป็นหนทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้บ้างไม่มากก็น้อย จึงคัดลอกนำมาเผยแผ่ต่อเพื่อเป็นธรรมทานค่ะ

จิตไปเร็วมาก เจ้าของตามไม่ทันไปทุกขณะ ดังนั้น คนเลยทำชั่ว ปล่อยให้กิเลสพาไป ไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดจาหยาบคาย ส่อเสียดให้คนอื่นเดือดร้อน ดื่มสุรา

ความชั่วมี ความดีมี จิตมีสิทธิ์ที่จะเลือก ถ้าจิตฉลาด ก็เลือกเอาบุญกุศล ถ้าไม่ฉลาด ก็เลือกเอาเรื่องชั่ว พอใจทำชั่ว
จิตไม่ฉลาด ไม่สามารถสร้างหรือหาข้าวของของตัวเอง ก็ไปฉกฉวยเมื่อเห็นของของผู้อื่น ในโลกสมมุตินี้ กลับเห็นผู้ฉกฉวย หลอกคนอื่นได้ เป็นคนฉลาด โลกก็เป็นอย่างนี้


แต่ในทางธรรมะ ถ้าไปทำให้คนอื่นทุกข์เดือดร้อน กรรมนั้นก็จะตามสนอง ให้ต้องถูกหลอก โดนต้มตุ๋น ต้องเสียใจ
คับอกคับใจ เกิดชาติใดก็จะเป็นอย่างนั้น


พระพุทธองค์ทรงสอนให้คนฉลาด มีปัญญา ไม่สอนให้โง่เขลาเบาปัญญา
คำสอนล้วนแต่ทำให้เกิดปัญญา แนะนำให้คนฝึกตน อย่าปล่อยตนให้ไหลไปตามอำนาจของกิเลส


ทูรังคะมัง เอกะจะรัง คูหาสะยังฯลฯปกติของจิตนั้น เที่ยวไปไกล มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อาศัย ใครสำรวมจิตใจตนให้ดีก็จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร

สิ่งที่ยิ่งทำให้โลภ โกรธ หลง ก็คือ
มาร เมื่อพิจารณารู้แล้วต้องไม่หลงใหลไปตามมายาของกิเลสนั้น
เมื่อมีอะไรมากระทบก็อย่าวู่วาม ให้มีสติสัมปชัญญะสกัดกั้นจิตใจไว้

มีอะไรมากระทบใจ ก็ อดทนก่อน ถ้าไม่อดทนก็จะมีเรื่อง อย่างมีคดีกัน ฟ้องกัน เสียเงิน เสียเวลา ไปศาลทีไรก็เสียเงินทุกที ไม่ฉลาด ถ้าฉลาดโจทก์กับจำเลยควรมาพูดคุยกัน ตกลงกัน สมยอมกัน ยอมสละกันบ้าง การว่าความในโรงศาลไม่ใช่ของดี ทำให้เสียเงินทอง เสียเกียรติยศชื่อเสียง

พระพุทธองค์จึงสั่งสอนให้สำรวมจิต ซึ่งจะทำให้มาร คือ ความชั่วทั้งหลายมาหลอกลวงยั่วยวนไม่สำเร็จ
เพราะว่าจิตรู้เท่าทัน เมื่อจิตตั้งมั่น ก็เกิดปัญญา


ดังนั้น อย่าปล่อยให้จิตไหลไปตามกระแสโลก จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ใช้สติสัมปชัญญะพิจารณาก่อน จะทำ จะพูด จะคิด ก็สำรวมจิต รักษาจิตให้ดี มารหรือความชั่ว ก็มาลบล้างหรือทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัวไม่ได้

ขอให้เข้าใจว่า ความชั่วทั้งหลาย (โลภ โกรธ หลง) คือตัวมาร ใครล่วงความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เข้าใจผิด เดินทางผิด เห็นผิดเป็นชอบไป การขอหวย รวยเบอร์ บนบาน ไม่ได้อะไร นี่เรียกว่า ความหลง

ดังนั้น สำรวมตัวเองให้ดี ไม่ปล่อยให้ความชั่วจูงจิตใจไป เท่านี้ก็มีแต่ความดี ไม่มีความชั่ว





วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตายเป็นก็อยู่เป็น

ระลึกถึงความตายสบายนัก
มันหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันต์อันธการ
ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ
(พระศาสนโสภณ)

มรณสติเป็นสิ่งที่พึงบำเพ็ญเป็นนิจ บ่อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น คราวหนึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสถามภิกษุกลุ่มหนึ่งว่า พวกท่านเจริญมรณสติอย่างไร

รูปแรกกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งคืนกับหนึ่งวันก็จะตาย

รูปที่สองกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งวันก็จะตาย

รูปที่สามกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง ครึ่งวัน ก็จะตาย

รูปที่สี่กล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง ฉันอาหารได้มื้อหนึ่ง ก็จะตาย

รูปที่ห้ากล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง ฉันอาหารได้ครึ่งหนึ่ง ก็จะตาย

รูปที่หกกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วเวลาเคี้ยวอาหารได้ ๔-๕ คำ ก็จะตาย

รูปที่เจ็ดกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง ชั่วเวลาเคี้ยวอาหารได้คำหนึ่ง ก็จะตาย

รูปสุดท้ายกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง ชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออก หรือหายใจออกหายใจเข้า ก็จะตาย

ทั้งนี้ทุกรูปพูดสรุปท้ายว่า เมื่อระลึกถึงความตายของตนแล้ว ก็จะระลึกและพยายามปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ให้มาก

เมื่อพระพุืทธองค์ได้ฟังแล้วตรัสว่า ภิกษุรูปที่ ๑-๖ ยังเป็นผู้ที่ประมาทอยู่ ส่วนภิกษุรูปที่ ๗ และ ๘ ซึ่งเจริญมรณสติทุกคำข้าว หรือทุกลมหายใจ จัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาท

ควรกล่าวในที่นี้ว่า การเจริญมรณสตินั้นมิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ทำให้รู้สึกสลดหดหู่ เห็นชีวิตไร้คุณค่า หรือหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิต ในทางตรงกันข้าม มรณสตินั้นหากพิจารณาอย่างถูกวิธี ย่อมทำให้ตระหนักว่าชีวิตและเวลาแต่ละนาทีที่ยังเหลืออยู่นั้น มีคุณค่าอย่างยิ่ง ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าหรือปล่อยเวลาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ คนเรานั้นหากไม่ตระหนักว่า ชีวิตและเวลาที่อยู่ในโลกนี้มีจำกัด ก็จะใช้ไปอย่างไม่เห็นคุณค่าเลย บางครั้งกลับทำสิ่งซึ่งบั่นทอนหรือตัดรอนชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ กว่าจะตระหนักว่าชีวิตและเวลามีคุณค่า ความตายก็มาประชิดตัวแล้ว ถึงตอนนั้นก็อาจทำอะไรแทบไม่ได้แล้ว

ผู้เขียนได้อ่านพบเรื่องการเจริญมรณสติในหนังสือ ระลึกถึงความตายสบายนัก ของ พระไพศาล วิสาโล ซึ่งคิดว่าหลายท่านคงเคยได้อ่านหนังสือธรรมะของท่านมาบ้างแล้ว เห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจใฝ่ในธรรม และบุึคคลทั่วไปบ้างไม่มากก็น้อย จึงได้คัดลอกบางตอนมาถ่ายทอดไว้ในบล็อกธรรมะสุขใจนี้ สำหรับบทความธรรมะในเดือนกันยายนได้ขาดหายไป เนื่องจากผู้เขียนไม่มีเวลาค้นคว้าหาบทความธรรมะที่น่าสนใจมาลงในบล็อกให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะหรรษา

พระคุณแม่ทดแทนไม่รู้หมด

กาลครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่ ณ ต้นไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน มีเด็กชายคนหนึ่งเดินหงุดหงิดอยู่คนเดียว ปากก็บ่นไปว่า "ใช้อยู่ได้ วัน ๆ ใช้ทำโน่นทำนี่ เดี๋ยวให้ถูกบ้าน เดี๋ยวให้ล้างจาน โอ้ย...เบื่อ ๆ ๆ" เดือดร้อนถึงเทพผู้ให้กำเนิด ซึ่งเป็นผู้จัดให้เด็ก ๆ มาเกิดในหมู่บ้านนี้ จึงแปลงกายเป็นผู้เฒ่าและปรากฏตัวพร้อมกับหมาน้อยตัวหนึ่ง ผู้เฒ่าถามเด็กน้อยว่า "เด็กน้อยเจ้าบ่นอะไรอยู่เหรอ บอกเรามาเถอะเผื่อเราจะช่วยเจ้าได้" เด็กน้อยตอบ "ก็แม่ของฉันนะสิ วัน ๆ ชอบใช้ให้ทำงานบ้าน ไม่เคยได้พัก ได้เล่นกับเพื่อนบ้างเลย" ผู้เฒ่าหยิบก้อนอิฐขึ้นมาสองก้อน "เอ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มาเล่นกับเราสิ เรามาแข่งกันถืออิฐนี้ไว้คนละก้อน ใครถือได้นานกว่ากัน คนนั้นชนะ" เด็กชายเห็นว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ จึงตกลงเล่นด้วย เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กน้อยเริ่มเมื่อยล้า และเบื่อจึงบ่น และขอยอมแพ้ ผู้เฒ่าก็พูดต่อว่า
"งั้นเจ้าเล่นกับลูกสุนัขตัวนี้ไหมล่ะ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องป้อนนมให้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อนนะ" เด็กน้อยตอบว่า ก็ได้ แล้วเริ่มป้อนนมให้ลูกสุนัข ไม่นานลูกสุนัขก็ซนและไม่ยอมอยู่นิ่ง เด็กน้อยก็เบื่อ แล้วก็บ่นพาลไม่ป้อนนมต่อ...ผู้เฒ่าจึงสอนว่า
"แม้แต่ก้อนอิฐ 1 ก้อน เจ้าก็ยกได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เทียบไม่ได้กับแม่เจ้า ซึ่งต้องอุ้มท้องเจ้าตลอดทั้งวันทั้งคืนนานถึง 9 เดือน ก่อนจะคลอดเป็นเจ้าออกมา แล้วยังต้องอดทนเลี้ยงเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตขนาดนี้ ขณะที่เจ้าป้อนนมลูกหมาแค่มื้อเดียวก็เบื่อแล้ว"
"การเป็นแม่นั้นลำบากนัก ตั้งแต่อุ้มท้อง และเลี้ยงลูกจนกว่าจะโต การทดแทนบุญคุณด้วยการช่วยการงานเพียงเล็กน้อย ย่อมเทียบไม่ได้กับพระคุณแม่ที่เลี้ยงเรามา" เด็กน้อยได้ฟังแล้วจึงคิดได้ รีบวิ่งกลับไปหาแม่โดยไม่คิดบ่นอีกเลย...
พ่อแม่ยอมเสียสละเลี้ยงดูลูกมาก่อน ลูกจึงรอดชีวิตและเติบโตขึ้นมาได้ ครูอาจารย์เสียสละไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก สั่งสอนอบรมศิษย์จึงมีความรู้ติดตัว การเสียสละของผู้เป็นบุพการีชนดังกล่าว เรียกว่า ยอมอนุเคราะห์คือช่วยเหลือเป็นเบื้องต้นก่อน แม้ผู้มีคุณอื่น ๆ ก็เช่นกัน
ผู้ได้รับการอนุเคราะห์จากท่านแล้ว รู้จักทำปฏิการะ คือตอบแทนคุณภายหลัง เช่น บุตรธิดา ...เลี้ยงพ่อแม่ตอบแทน ศิษย์...เคารพนับถือและไม่ทอดทิ้งครูอาจารย์ ผู้ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่นแล้ว ไม่ลืมคุณของท่าน พยายามทดแทนสนองคุณภายหลังเช่นนี้ เสมือนพืชที่บุคคลหว่านบนแผ่นดินอันชุ่มด้วยน้ำ ไม่แห้งแล้ง ย่อมงอกงามเติบโตไปได้

ความเคารพรักบำรุงมารดา นำมาซึ่งความสุขในโลก มารดาบิดา ท่านเรียกว่าเป็นพรหม

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะหรรษา

บุญที่ให้ทานแก่ปลา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้ว สองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้าขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพสัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้ว เขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์ จึงห่อก้อนหินขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงินนั้น
เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็ทำให้เรือโคลงเคลง ทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า
"พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างล่ะทีนี้"
"เมื่อในตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลย หาเอาใหม่ได้มากกว่านี้" พี่ชายตอบ
เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอด จึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัวหนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความกระหยิ่มใจ แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหิน จึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียวที่หลงทิ้งถึงห่อเงินลงน้ำไป ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร
หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลา จับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า
"ปลาสด ๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ 1,700 บาท สนไหมครับ " ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า
"ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นล่ะ" จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ ได้ร้องขายปลาอยู่หน้าร้านนั้น พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้น จึงถามราคาว่า
"ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ"
"ผมขายให้ 28 บาทละกันครับ" ชาวประมงตอบ
เจาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงิน จึงมอบให้เขา เขาปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า
"แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น 1,700 บาท แต่ขายให้เราเพียง 28 บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ"
ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศ พูดว่า "เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา เราจึงขอมองทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น"
แล้วได้กล่าวคาถาว่า "ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและพ่อแม่ ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา" กล่าวคาถาจบก็หายร่างไป
***ผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง***

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก


ดิฉันได้มีโอกาสอ่านพบบทความของคุณ aston27 แล้วโดนใจมาก จึงอยากให้ท่านที่ต้องเสียบุคคลที่รักไปได้อ่านบ้าง เพื่อที่จะได้พบกับความสว่าง และเพื่อรักษาจิตใจให้เข้มแข็ง เรียกสติกลับคืนมา โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และต้องสลายไปในที่สุด ซึ่งคุณ aston27 เขียนไว้ดีมากค่ะ ....

เคยได้ยินสำนวนอันหนึ่งไหมครับ ที่บอกว่าสิ่งที่ดูน่ากลัว มักจะไม่อันตราย สิ่งที่อันตราย มักจะดูไม่น่ากลัว ว่ากันว่า..ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรักคือ การที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรูโดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ"จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น"ยังไงๆ เขาก็มีหัวใจคนละดวงกับของเรา สมองคนละก้อน ตัดสินใจได้เอง รู้สึกได้เองว่าจะรัก จะเลิก จะอยู่หรือจะไปในเวลาอกหัก ใครจะมาบอกมาพูดอะไรสามวันสามคืนก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก เท่ากับการมีปัญญาขึ้นในใจเราเองถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อพบกัน เพื่อมีวันเวลาที่ดีด้วยกัน และเพื่อพรากจากกันในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะทำใจ และปล่อยวางได้โดยไม่ต้องการคำอธิบาย หรือตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย เวลาเจอเรื่องแบบนี้อย่าเสียเวลาถามว่า "ทำไม" ให้มากความนะครับ คิดเสียว่าเขาตายจากชีวิตเราไปแล้ว คนที่เคยเป็นคนรักแสนดีของเรา เขาไม่อยู่ในโลกของเราแล้ว ถ้าเรารักเขามากจริงๆ อย่างที่บอกเขาเสมอนี่ไง.. สิ่งสุดท้ายที่เราจะให้เขาได้"ให้อภัย" ไงครับ คิดเสียว่าเขาจะมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับเรา อวยพรให้เขาโชคดีในโลกใหม่ของเขาไม่ต้องรอเขาหรอกนะครับ อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ว่าคนตายแล้วจะฟื้นกลับมาเพราะมันมีแต่ในหนังแฟรงเก้นสไตน์ และถึงเขาจะกลับมา เชื่อเถอะครับว่าความรู้สึกดีๆ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาแล้ว เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขาแล้ว เราก็เลือกได้เหมือนกันว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือจมปลักในทุกข์นี้ต่อไป อยากร้องไห้ก็ร้องแต่พองาม พอให้รู้สึกว่าเรามีเลือดเนื้อแต่อย่าร้องจนเสียจริต เหมือนคนคิดสั้น เพราะถึงเราจะร้องจนน้ำท่วมทุ่งกุลาร้องไห้ก็ไม่ทำให้อะไรๆกลับมาเหมือนเดิม เราอาจรู้สึกเหมือนโลกดับวับหาย แต่เปล่าหรอก..ชีวิตเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ความจริง การเรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่เป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์ที่จะได้สอนตัวเองว่า ..อย่ายึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปทั้งเราทั้งเขา ทั้งใครๆ ทั้งสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งไหนทั้งโลกนี้ จักรวาล และกาลเวลาใครที่ป่วยใจอยู่ ขอให้เข้มแข็ง..หนักแน่น..มีสติ และขอให้หายป่วยไวๆครับ

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นิทานบันเทิงธรรม

ปูทองผู้ฉลาด
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการเสียสละชีพของพระอานนท์เถระเพื่อพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า....

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีอาชีพกสิกรรม วันหนึ่งเขาไปนาพร้อมบริวารบอกลูกน้องให้ทำงาน แล้วตนเองก็ไปล้างหน้าที่หนองน้ำปลายนา ในหนองน้ำนั้นมีปูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ มีสีเหลืองเหมือนสีทอง พอถึงหนองน้ำเขาก็แปรงฟันก่อน ค่อยลงไปล้างหน้า ขณะนั้นเองปูทองได้มาอยู่ใกล้ ๆ เขา เขาเห็นมันแล้วเกิดความเอ็นดู จึงจับมันขึ้นมาวางไว้ที่ผ้าห่มของเขา เมื่อจะกลับไปทำนาต่อ ก็ปล่อยมันลงน้ำไป

วันต่อมา พอเขามาถึงนาก็จะแวะไปที่หนองน้ำ จับปูขึ้นมานอนที่ผ้าห่มก่อนแล้วไปทำนาทั้งวัน ตกเย็นไปปล่อยปูลงน้ำแล้วค่อยกลับบ้านไปเป็นลักษณะเช่นนี้ประจำ เขากับปูทองจึงเกิดความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ดวงตาของพราหมณ์มีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ จะเป็นวงกลม 3 ชั้นใสแจ๋ว ที่ปลายนานั้นมีกาผัวเมียคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นตาลต้นหนึ่ง นางกาเกิดแพ้ท้องอยากกินดวงตาของพราหมณ์เจ้าของนา

"ถ้าไม่ได้กินฉันคงตายแน่ ๆ เลยล่ะ" สามีเอ่ยปากตอบด้วยความเกียจคร้านว่า "น้องจะบ้าเหรอ ใครจะไปบังอาจเอาดวงตาของคนมาได้ อย่าหวังเลยน้อง" นางกาจึงเสนออุบายอย่างหนึ่งว่า "ที่ใต้ต้นตาลนี้มีงูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ถ้าเราใช้ให้งูเห่ากัดเขาตายแล้วค่อยเจาะดวงตาของเขา ความหวังของฉันก็เป็นความจริงนะสิ"

กาสามีเห็นดีด้วย นับแต่วันนั้น กาทั้งสองเริ่มปรนนิบัติงูเห่าด้วยการนำอาหารมาให้เป็นประจำ พอข้าวในนาเริ่มทั้งท้อง ปูทองก็เติบโตเต็มที่ วันหนึ่งเวลาเช้าตรู่ พราหมณ์ก็ออกมาดูนาตามปกติ เขาแวะไปที่หนองน้ำจับปูมาวางไว้ที่ผ่าห่ม แล้วกำลังจะเดินขึ้นคันนาเลาะดูข้าวเท่านั้น ก็ถูกงูเห่ากัดเข้าที่น่องล้มลงตรงนั้น งูเห่ากัดแล้วก็เลี้อยเข้าจอมปลวกไป พอเขาล้มลง ปูทองได้กระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนยอดอกของเขา กาตัวผู้ก็บินมาจับบนร่างของเขาเช่นกัน ขณะที่กากำลังจะจิกดวงตาของเขานั่นเอง ปูทองก็ใช้ก้ามปูหนีบคอกาเอาไว้แน่นแล้วขู่ว่า

"เจ้ากาชั่ว เจ้าเรียกงูมาเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้น เจ้าคอขาดแน่ ๆ " กากลัวตายจึงร้องเรียกงูว่า "เฮ้ย...งูเห่าเพื่อนรักกลับมาก่อน ข้าถูกปูตาโปนหนีบคอแล้ว กลับมาช่วยกันก่อน" งูเห่าพอได้ยินเสียงเรียกก็เลี้อยกลับมาแผ่พังพานหันจะฉกปู ปูจึงใช้ก้ามปูอีกข้างหนึ่งหนีบคองูเอาไว้อีก งูเห่าดิ้นไม่หลุด จึงร้องถามปูทองว่า "เจ้าปูตาโปน ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหนีบคอพวกข้าทั้งสองไว้ทำไม"

ปูทองตอบว่า "เจ้างูชั่ว ชายคนนี้เป็นที่พึ่งของข้า ถ้าเขาตายไป ข้าก็ต้องตายด้วย เพราะไม่มีผู้คุ้มครอง เจ้ามาทำให้เขาตายเสียแล้ว พวกเจ้าต้องตาย" งูฟังแล้วคิดจะล่อลวงปูจึงพูดว่า "เจ้าปูตาโปน ถ้าเช่นนั้น ข้าจะดูดพิษกลับคืนให้เขาฟื้นคืนชีพมา เจ้าปล่อยพวกข้าก่อนสิ ก่อนที่พิษร้ายแรงจะทำให้เขาตาย" ปูรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของงู จึงพูดว่า "เจ้างูชั่ว ข้าจะปล่อยเจ้า ต่อเมื่อเห็นชายคนนี้ลุกขึ้นได้ก่อน แล้วข้าถึงจะปล่อยกาไป" ว่าแล้วก็คลายก้ามให้งูเลี้อยไปดูดพิษคืน เมื่อพราหมณ์ได้ลุกขึ้นยืนเป็นปกติแล้ว ปูคิดว่าถ้าขืนปล่อยให้สัตว์ทั้งสองนี้ไป ก็จะกลับมาทำร้ายพราหมณ์เจ้าของนาอีกจนได้ จึงใช้ก้ามปูหนีบคอสัตว์ทั้งสองเสียชีวิตทันที ฝ่ายนางกาที่จับอยู่บนต้นตาลเห็นเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้น ก็รีบบินหนีไปอยู่ที่อื่น พราหมณ์เจ้าของนาโยนร่างของกาและงูทิ้งเข้าป่าไป นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พราหมณ์และปูทองก็ยิ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนตราบสิ้นชีวิต

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อย่าคิดทำร้ายคนอื่น เพราะตนเองจะเดือดร้อนในภายหลัง คนและสัตว์ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน อย่าได้คิดทำลายสัตว์และธรรมชาติเลย"

ทางลัดสู่โสดาบัน

1. ให้ตั้งจิต ที่จะละชั่ว-ทำดีให้ได้ก่อน
2. ให้ขจัด ความทุกข์และโทมนัสที่ซ่อนอยู่
3. ให้ทำลาย ความรู้สึกชอบใจ-ไม่ชอบใจให้น้อยลง
4. ให้ละ ความฟุ้งเฟ้อ-แข็งกร้าวที่มีอยู่
5. ให้สลาย ความรู้สึกที่ไม่ดีทั้งมวลให้สิ้นไป
6. ให้ฝึกตน ให้มีใจกรุณาอย่างแท้จริง
7. ให้รู้จัก ทำจิตใจให้สงบก็จบกัน

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มงคล 38 ประการ

มงคล 38 ประการ เป็นธรรมะที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และการนำไปปฏิบัติ เพราะเป็นขั้นตอนที่เกี่ยวเนื่องกัน สามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสมบูรณ์พร้อม ฝึกให้เป็นคนดี สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์ บำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัวและสังคม นำธรรมะใส่ตัวให้เต็มที่ ฝึกภาคปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสให้สิ้นไป ผลจากการปฏิบัติจนหมดกิเลส และยังประโยชน์สูงสุดของการปฏิบัติให้เกิดขึ้น คือ ผู้ปฏิบัติจะมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หมดกิเลส สร้างบารมีให้ถึงที่สุดแห่งธรรมได้ในที่สุด ขอนำท่านสู่มงคล 38 ประการ ณ บัดนี้

มงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต" ซึ่งมี 38 ประการ อันได้แก่
1. การไม่คบคนพาล
2. การคบบัณฑิต
3. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
4. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
5. เคยทำบุญมาก่อน
6. การตั้งตนชอบ
7. ความเป็นพหูสูต
8. การรอบรู้ในศิลปะ
9. มีวินัยที่ดี
10. กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
11. การบำรุงบิดามารดา
12. การสงเคราะห์บุตร
13. การสงเคราะห์ภรรยา
14. ทำงานไม่ให้คั่งค้าง
15. การให้ทาน
16. การประพฤติธรรม
17. การสงเคราะห์ญาติ
18. ทำงานที่ไม่มีโทษ
19. ละเว้นจากบาป
20. สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
21. ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
22. มีความเคารพ
23. มีความถ่อมตน
24. มีความสันโดษ
25. มีความกตัญญู
26. การฟังธรรมตามกาล
27. มีความอดทน
28. เป็นผู้ว่าง่าย
29. การได้เห็นสมณะ
30. การสนทนาธรรมตามกาล
31. การบำเพ็ญตบะ
32. การประพฤติพรหมจรรย์
33. การเห็นอริยสัจ
34. การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
35. มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
36. มีจิตไม่เศร้าโศก
37. มีจิตปราศจากกิเลส
38. มีจิตเกษม

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด <โดย ว.วชิรเมธี>
รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี
ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลงหมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้องปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริงคิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝันฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''
คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนักเพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบกิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใครหรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชังแต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำเอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำนอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่าเราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเองถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้
เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลยเราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า
คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอกเราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้างความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลยมุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า
วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง'' กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลกแทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่นเพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใดสภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น
วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือการดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะหรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์
ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขาแต่จงย้ายตัวเอง ''
ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

คำคมของพระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่า ท่านอาจารย์ชยาดอ อูโชติกะ

· ความไม่รู้จักพอเพียง เป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง
· หากเก็บกอดเอากิเลสไปด้วยทุกหนแห่ง ถึงอยู่ที่ใดก็เป็นทุกข์
· คนส่วนใหญ่ยังติดข้องอยู่ ต้องรอจนคุณเห็นชัดว่าติดอยู่ตรงไหนนั่นแหละ คุณถึงจะมีโอกาสปลดตัวเองออกจากตรงนั้นได้
· พึงมีสติอยู่เสมอ ใช้ชีวิตให้เรียบง่าย ซึ่งคุณก็ทำอยู่แล้ว เรายึดโยงเอาทุกสิ่งไว้ไม่ได้ ต้องเลือกบางอย่างไว้ แล้วยอมปล่อยที่เหลือทิ้งไป
· ความต้องการลดลง ความหนักอึ้งที่แบกอยู่ก็เบาลง
· แต่ละความคิดล้วนกัดกร่อนทำลายจิต “คิด” จึงเป็นเรื่องหนักอึ้ง เป็นความทุกข์ทรมาน
· อย่าแบกความทรงจำในอดีต หรือความกังวลต่ออนาคตเอาไว้ พึงใช้ชีวิตทุก ๆ ขณะอย่างมีสติ ปล่อยอนาคตให้เป็นเรื่องของมัน
· การยอมรับความจริง ช่วยปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระ
· จงพยายามมีสติอยู่เสมอ แม้ในยามที่ทำได้ยาก ยามใดที่คุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสติ ยามนั้นแหละจำเป็นที่สุดที่คุณต้องมีสติให้ได้
· หากเราสามารถยอมรับในสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ จิตใจก็จะสงบขึ้น
· อย่าไปกังวลอะไรให้มากมายนัก อย่าไปดิ้นรนยืนกรานให้ทุกอย่างต้องเป็นไปตามใจเรา โดยเฉพาะกับผู้คน เขาก็มีจิตใจของเขา ความชอบของเขา
· ทุกสถานการณ์ทุกประสบการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย คือโอกาสทองของการเรียนรู้ การยอมรับความไม่แน่นอนและดำรงชีวิตอยู่กับมันได้ เป็นสัญญาณบ่งบอกวุฒิภาวะที่แก่กล้าขึ้นแล้ว บ่อยครั้งที่เรามักต้องการความมั่นใจสำหรับอนาคต แต่....อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
· การแสวงหาความพึงพอใจก็คือ การแสวงหาความเจ็บปวด เข้าใจเรื่องนี้ได้ลึกซึ้งเมื่อใด ก็จะปล่อยวางได้เมื่อนั้น
· อย่าแบกเอาความทรงจำในอดีตหรือความกังวลถึงอนาคตไว้ในใจเลย ดำรงชีวิตทุกขณะจิตกับสติ อนาคตจะจัดการตัวมันเอง
· ความตายมันไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย อาจมีความเจ็บปวดบ้างตอนตายที่ทำให้ทุกข์ยาก สาเหตุที่ทำให้เรามองว่าความตายเลวร้ายก็คือ ความยึดติด เพราะเราจะต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักไป
· การยอมรับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือหัวใจสำคัญของจิตที่สงบสุข
· การให้อภัยคือการเข้าใจ อภัยได้ก็เป็นอิสระ หากยังอภัยให้ใครไม่ได้ ก็ต้องผูกติดกันไปแบบนั้น เมื่อเห็นอนัตตาเสียแล้ว ยังมีใครต้องให้อภัยอยู่อีกหรือ
· แค่ความรักยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนสองคนอยู่ร่วมกันได้ ทั้งคู่ยังต้องเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง สัมพันธภาพใช่จะต้องการแค่ความรัก ความเข้าใจและชื่นชมกันและกันต่างหากที่ทั้งคู่จะต้องมี
· รักแท้ไม่เคยสร้างความเจ็บปวด

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คนที่มีความสุขที่สุดในโลก

คนที่มีความสุขที่สุดในโลก
คนที่มีความสุขที่สุดในโลก ไม่ใช่คนที่ร่ำรวย
คนที่มีความสุขที่สุดในโลก ไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ
แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลก คือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง
และความหมายของความสบายใจ คือ
1. เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา และคุณทำได้
2. รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง และพร้อมจะปรับปรุงเสมอ
3. ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น
4. เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ
5. วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์ คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน
6. กล้าหาญเสมอ คุณกล้าเปลี่ยนแปลงและกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่ หรือปัญหาต่าง ๆ
7. มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย
8. มีน้ำใจอาทร คุณพบความสุขในใจเสมอ ถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
9. นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่าและทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง
10. เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณและคนรอบข้าง รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย

ความสุขนั้นคือ พอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้ การได้รับวัตถุและความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้คุณพึงพอใจและยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอไม่มีวันหยุดนิ่ง ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะความสุขนั้น มักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้นแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมุ่งหวังยามแก่เฒ่า ค่อยอยู่อย่างสงบสุขอย่างที่หลายคนเชื่อมั่น

เชื่อเถอะ เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง !!!

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กรรมลิขิต

อานิสงส์เมตตา

พระภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดดุสิตาราม บางยี่ขัน ธนบุรี บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งรถแท็กซี่ไปสถานีขนส่งสายเหนือ เพื่อโดยสารรถไปจังหวัดนครราชสีมา ท่านเห็นปูนาตัวใหญ่ยืนชูก้ามอยู่กลางถนน ท่านกลัวมันจะถูกรถทับตาย จึงให้คนขับหยุดรถข้างถนน แล้วท่านก็ลงไปต้อนปูตัวนั้น เสียเวลาอยู่นานกว่าจะต้อนมันลงคูน้ำข้างทางได้

เมื่อถึงสถานีขนส่งสายเหนือ รถเที่ยวสุดท้ายที่จะไปนครราชสีมาเพิ่งออกไป ท่านจึงต้องรอไปรถสายอุดร-หนองคาย เพื่อลงที่ปากทางเข้าเมืองนครราชสีมา แล้วต่อรถอีกทอดหนึ่ง เมื่อรถที่ท่านโดยสารวิ่งมาไม่นาน ก็เห็นรถโดยสารคันหนึ่งคว่ำอยู่ข้างทาง มีทั้งคนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต รถคันที่เกิดอุบัติเหตุคือคันที่ท่านมาไม่ทัน อานิสงส์ของเมตตาช่วยให้ท่านรอดพ้นจากอันตราย (กฎแห่งกรรมของ ท.เลียงพิบูลย์ เล่ม 4)

ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
1. การช่วยชีวิตสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างปู ดูไม่น่าจะเป็นความดีมากมายอะไร แต่การที่ต้องเสียเวลาต้อนอยู่นานจนเหนื่อยจึงสำเร็จ แสดงให้เห็นเจตนาดีอันแรงกล้า เมื่อเจตนามีกำลังแรงกล้า จึงเป็นกรรมดีที่มีผลมาก และให้ผลทันตาเห็น
2. กรรมดีต่างหากเป็นของดีที่ช่วยคุ้มกันภัยได้ เครื่องรางของขลังเป็นแค่วัตถุมงคลเท่านั้น ไม่ใช่ของดีที่ช่วยคุ้มกันภัย บางครั้งวัตถุมงคลเองนั้นแหละทำนำ (โจร) ภัยมาสู่เจ้าของ ผู้ร้ายหลายรายถูกยิงตายทั้งที่มีของขลังเต็มตัว

**************

พ้นเพราะบุญ

ทมิฬชื่อทีฆชยันตะ เอาผ้าแดงบูชาอากาสเจดีย์ซึ่งสูงระฟ้า ที่สุมนคิริมหาวิหาร ต่อมาตายไป บังเกิดในที่ใกล้อุสสุทนรก ได้ฟังเสียงเปลวไฟ ก็หวนระลึกได้ถึงผ้าแดงที่ตนนำไปบูชาอากาสเจดีย์ เขาจึงจุติไปบังเกิดในสวรรค์

มีอีกคนหนึ่ง ถวายผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยงแก่ภิกษุหนุ่มผู้เป็นบุตร เวลาที่ทอดผ้าไว้แทบเท้าของภิกษุผู้เป็นบุตร ก็ถือเอานิมิตในเสียงนั้นว่าแผ่นผ้า ๆ ได้ ต่อมาบุรุษนั้นก็ตายไปบังเกิดในที่ใกล้อุสสุทนรก หวนระลึกถึงผ้าสาฏกนั้นได้ เพราะได้ยินเสียงเปลวไฟ จึงจุติไปบังเกิดในสวรรค์
(อรรถกถาทูตสูตร มโนรถปูรณี ภาค 3)

ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
1. บุคคลทั้งสองพ้นจากนรกด้วยอำนาจของบุญที่ทำในชาติก่อน จัดเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม
2. แม้จะมียศตำแหน่งสูง มีอำนาจวาสนา มีบริวาร มีทรัพย์สมบัติมากมาย ก็ไม่สามารถนำติดต่อไปปรโลกได้ เมื่อตายแล้วต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ในโลก บุญที่ทำไว้เองเท่านั้นที่จะนำติดตัวไปปรโลกได้ บุญเท่านั้นที่เป็นที่ซ่อนเร้น เป็นที่พำนัก เป็นที่พึ่งอาศัยของผู้ที่จะไปสู่ปรโลก

มาสร้างบุญบารมีกันเต๊อะ

มาสร้างบุญบารมีด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
- ถวายยารักษาโรคให้วัด ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ - ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
- ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์ - ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
- ทำหนังสือหรือสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ - เพราะธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
- สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ - ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป
- แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพราหมณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ - ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรม อุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อ ๆ ไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล

รักแท้มีจริง

รักเหนือรัก
ยกระดับบุญ

คนรักจะนำมาให้คุณทั้งสุขทั้งทุกข์
แต่บุญจะนำมาให้คุณแต่ความสุขถ่ายเดียว
ระหว่างได้บุญกับได้คนรัก อันไหนดีกว่ากัน ปัญญาจะตอบว่าได้บุญดีกว่าแน่นอน เพราะเที่ยงที่บุญ จะนำความสุขมาให้ ไม่ช้าก็เร็ว ส่วนคนรักนั้น ยังไม่รู้ว่าจะคุ้มดีคุ้มร้าย ให้คุณให้โทษขนาดไหน
แต่ถ้าไปถามกิเลสนะครับ ว่าระหว่างได้บุญกับได้คนรัก อันไหนดีกว่า กิเลสจะตอบทันทีว่าได้ คนรักสิดีกว่า!
กิเลสน่ะ ไม่ช่วยให้คุณกลัวความทุกข์หรอกครับ มันจะขับดันให้คุณละโมบอยากเขมือบสุขท่าเดียว!
อันนี้ต้องมาตีข้อเด่นของบุญให้โด่งขึ้นชัดๆหลายๆหน ถึงจะเปรียบเทียบได้เกิดความเข้าใจอันดีเช่น ถามว่าถ้าคุณรักและเป็นห่วงใคร อยากปกป้องใคร คุณควรทำเช่นไรจึงเป็นผลดีกับเขาหรือเธอมากที่สุด?
จากความจริงที่คุณไม่อาจตามดูแลใครให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวเต็มปาก เต็มคำว่า ‘รักแท้ช่วยไม่ได้’

รักแท้ช่วยให้ใครเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่ความละอายต่อบาปช่วยได้
รักแท้ช่วยให้ใครมั่งมีศรีสุขอย่างเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ แต่ทานบารมีช่วยได้
รักแท้ช่วยให้ใครปราศจากภัยเวรไม่ได้ แต่ศีลบารมีช่วยได้
รักแท้ช่วยให้ใครเป็นอมตะไม่ได้ แต่การมีสติตื่นรู้สัจจะความจริงขั้นสูงสุดช่วยได้
บุญเท่านั้นที่ตามไปเป็นสมบัติ เป็นพี่เลี้ยงดูแล เป็นบอดี้การ์ด เป็นพยาบาล เป็นผู้ช่วยสารพัด ตลอดจนเป็นผู้บันดาลความเป็นอมตะได้ กล่าวโดยรวมคือมีแต่บุญเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงให้กับ คนรักของคุณ ไม่ใช่ตัวคุณ และไม่ใช่รักแท้แต่อย่างใด!

มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดด้วย ถึงจะคิดทำบุญได้!
บางคนรักเมียมาก อุตส่าห์หาซื้อเครื่องช็อตไฟฟ้าให้เมียไว้ป้องกันตัว ซึ่งถ้าจวนตัวหน้าสิ่ว หน้าขวานขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้จะหยิบทันหรือเปล่า ไม่รู้จะใช้เป็นหรือเปล่า ไม่รู้จะโดนโจรล็อกคอก่อนหรือเปล่า หรือหนักกว่านั้นคือไม่รู้จะลืมไว้ที่บ้านหรือเปล่า แต่ถ้ามอบความเข้าใจในการสร้างบุญให้เมีย เธอจะมีปราการแก้วคุ้มครองตนเองตลอดไป ด้วยบุญ เธอจะไม่อยู่บนเส้นทางเจอโจร ถึงเจอก็มีเหตุให้แคล้วคลาด ถึงไม่แคล้วคลาดก็มีเหตุให้โจรใจอ่อน ถึงไม่มีเหตุให้โจรใจอ่อนเธอก็ไม่ถูกทำร้าย ถึงถูกทำร้ายเธอก็ไม่ตาย ถึงตายเธอก็ได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ ไม่ต้องร่วง หล่นลงต่ำด้วยเหตุคือโทสะหรือพยาบาท
เข้าใจเรื่องบุญ ก็คือเข้าใจเรื่องสร้างที่พึ่ง และความเข้าใจเรื่องบุญ ก็ใช้เงินซื้อไม่ได้!
บนเส้นทางไร้ต้นไร้ปลาย เกิดตายเป็นอนันตชาตินี้ ไม่เคยมีการสั่งสมการเรียนรู้ มีแต่การสั่งสมบุญ หมายความว่าจะเกิดกี่ล้านครั้ง ต้องทนทุกข์ทรมานกี่ล้านหน ถ้าเกิดใหม่ลืมหมด ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ สูญเปล่า ไม่ทำให้เข็ดหลาบ ไม่ทำให้เพียรอยากหาทางหยุดเกิดตายด้วยตนเอง คุณต้องสั่งสมบุญในทาง สายปัญญา เพราะบุญเท่านั้นที่สะสมได้ ผลักดันให้คุณเล็งหาประโยชน์สูงสุดได้ซึ่งนั่นก็คือหยุดหลงผิดคิดว่า กองทุกข์เป็นของดี กองทุกข์เป็นสมบัติของคุณเสียที การทำบุญคือการขนเอาความตระหนี่ ความโลภ ความโกรธ และความหลงสำคัญผิดต่างๆออกจากตัว ถ้าทำบุญโดยหวังอะไรเข้าตัว ก็แปลว่าคุณลืมสละความโลภ บุญที่ลืมสละความโลภ ไม่ถือเป็นบุญสายปัญญา ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าทำบุญอย่างคนโลภ ก็มักอธิษฐานว่าขอให้บุญนี้จงส่งแฟนมาให้ฉันเร็วๆ ซึ่งอำนาจบุญใหญ่อาจส่งมาจริงๆ แต่เป็นแฟนประเภทผ่านมาชิม ไม่ใช่เข้ามาเพื่อครองคู่อยู่ร่วมกัน เพราะจะครองคู่ให้หายเหงาไปทั้งชาตินั้น ต้องการปัจจัยเท่าบ่อน้ำ หรือทะเล หรือมหาสมุทร ไม่ใช่แค่เท่ากระป๋องนม!

แต่ถ้าทำบุญอย่างคนฉลาด คุณจะสำรวจใจตัวเองว่ายังโลภอยากได้อะไรเกินตัวไหม ยังคิดพยาบาทมาดร้ายใครอยู่ไหม ยังหดหู่ท้อแท้ไหม ยังฟุ้งซ่านจัดไหม ยังสงสัยในกุศลผลบุญไหม เมื่อสำรวจพบว่า ใจหลังทำบุญเสร็จยังคงมีมลทินอันใด ก็ขอให้ความสว่าง ความแช่มชื่นแห่งบุญ จงเป็นน้ำสะอาดล้างมลทินอย่างนั้นๆ ด้วยเถิด ผู้มีจิตสะอาดปราศจากมลทินปนเปื้อนนะครับ ต่อให้ไม่อธิษฐานขอคนรัก ก็จะเป็นที่รักของคนจำนวนมาก เพราะคนจำนวนมากเหม็นเบื่อความสกปรกของตนเองเต็มทน อยากได้น้ำดีชะล้างความหมักหมมเสียบ้าง ซึ่งถ้ากระแสของใจคุณสะอาดพอ ผู้คนก็อยากมาอาศัยอาบรดกันอยู่แล้ว คนเราทำบุญได้ ๓ ระดับ คือ ทาน ศีล และภาวนา เรียงตามลำดับจากต่ำไปหาสูง เหมือนบันไดขั้นแรกที่พาไปหาบันไดขั้นถัดๆไป มีรายละเอียดดังนี้ครับ
๑) ทาน ทานคือการให้ ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารสัตว์ ให้ของคนยากจน ตลอดจนถวายข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตแด่สงฆ์ ล้วนเรียกว่าทานทั้งสิ้น ที่ชาวพุทธนิยมทำสังฆทาน เพราะเป็นทานขั้นสูงสุดสำหรับคนทั่วไปเท่าที่จะทำได้ ความจริงยังมีทานสูงกว่านั้นอีก คือการให้ธรรมเป็นทาน หมายถึงการให้ปัญญา ชี้แนะแนวทางให้ผู้อื่นเห็นถูกเห็นชอบ ในกรรมวิบากและทางพ้นทุกข์ แม้สังฆทานที่มีหนังสือธรรมปฏิบัติสำหรับพระ ก็จัดเป็นมหาธรรมทาน ได้เช่นกัน เมื่อทำบุญโดยการให้ทาน สิ่งที่คุณควรอธิษฐานหวังผล และเห็นผลได้ทันใจ ได้แก่การขอให้ความท้อหายไปและกำลังใจคืนมา ความฟุ้งซ่านเบาลงและมีความเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น ความเคลือบแคลงใน ผลแห่งบุญหมดสิ้นไปและมีใจมั่นคงในการทำบุญให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ที่ต้องหวังความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ก็เพราะแม้ทานเป็นประกันว่าคุณจะมีความสุขอันเกิดจากการให้ แต่ไม่ได้ประกันว่าจิตของคุณจะสะอาดน่าสบายใจสักแค่ไหน เพื่อประกันว่าจิตจะสะอาดน่าสบายใจ คุณต้องทำบุญขั้นกลางซึ่งเหนือกว่าการทำทาน นั่นคือ การรักษาศีลครับ
๒) ศีล ศีลคือการรักษากายและวาจามิให้เป็นที่เบียดเบียนกัน คือต่อให้ใจคิดเบียดเบียนก็ห้ามไว้ อย่าให้ถึงขั้นลงมือลงไม้ หรือกระทั่งพ่นพิษอันใดออกไปทางปาก

การรักษาศีลถือเป็นการสละความเห็นแก่ตัว เพราะ…
ไม่ฆ่าแม้ถูกยั่วยุให้ฆ่าในนามของความคับแค้น
ไม่ขโมยแม้ถูกล่อใจว่ามีสิทธิ์ขโมยโดยไม่มีใครรู้
ไม่ลักลอบเป็นชู้แม้สบโอกาสเป็นชู้ในที่ลับหูลับตาทุกคน
ไม่โกหกทั้งรู้ว่าถ้าไม่โกหกก็จะอดได้ในสิ่งที่ปรารถนา
ไม่เสพสุรายาเมาแม้การเสพสุรายาเมาคือการสนุกแบบไม่ต้องยั้งมาก

จะเห็นว่าเหล่านี้เป็นการสละความเห็นแก่ได้ สละอาการเอาเข้าตัวทั้งนั้น เมื่อตั้งใจงดเว้นพฤติกรรม ผิดๆแล้วเว้นได้สำเร็จจริง ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น จึงควรได้ชื่อว่าเป็นผู้ลดความเห็นแก่ตัวลงแล้ว อย่างแท้จริง หากถือศีลได้สะอาด ชนะขาดในการต่อสู้กับสิ่งยั่วยุ คุณควรอธิษฐานหวังผลได้ทันใจ ได้แก่การขอให้ราคะผิดๆจงอ่อนกำลังลง ขอให้ความอาฆาตพยาบาททั้งหลายจงหลุดล่อนออกจากใจไปทีละน้อย และขอให้ความฟุ้งซ่านไปในเรื่องผิดทั้งหลายจงสงบระงับลง กลายเป็นผู้มีสมาธิตั้งมั่น ด้วยธรรมชาติของจิตที่ปราศจากการละเมิดศีล เมื่อไม่ละเมิดศีล ย่อมได้ชื่อว่าละเหตุแห่งความเดือดร้อนกระวนกระวาย อย่างไรก็ตาม แม้ศีลเป็นประกันว่าคุณจะมีความสะอาดทางใจ แต่ไม่ได้ประกันว่าจิตของคุณจะหนีความทุกข์ได้พ้น

เพื่อประกันว่าคุณจะหมดทุกข์หมดโศก เป็นอิสระหายห่วงได้จริง คุณต้องทำบุญขั้นสูงซึ่งเหนือกว่า การรักษาศีล นั่นคือรู้วิธี 'ทำใจ' ให้เท่าทันความจริงทั้งหลายที่กำลังปรากฏอยู่ทั้งภายนอกและภายใน
๓) ภาวนา ภาวนาคือการทำสติให้เจริญขึ้น และที่ต้องทำให้เจริญขึ้นก็เพราะพวกเรากำลังหลับอยู่ทั้งลืมตา หลงสำคัญผิด ยึดมั่นผิดๆไปต่างๆนานา เช่น…

เราหลงสำคัญไปว่ากายนี้จะเต่งตึงตลอดไป เมื่อกายเหี่ยวย่นลง ใจย่อมเหี่ยวแห้งเป็นทุกข์ตาม ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้ลมหายใจก็ต้องเปลี่ยน แม้อิริยาบถก็ต้องเปลี่ยน อะไรๆในกายต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่สักอย่าง เมื่อนั้นจึงคลายความหลงยึดมั่นผิดๆในกายเสียได้

เราหลงสำคัญไปว่าความสุขเป็นสิ่งที่เกิดแล้วเกิดเลย เมื่อความสุขเปลี่ยนไปเป็นทุกข์ เราก็ยึดทุกข์แทน นึกว่ามันจะไม่หายทุกข์อีกแล้ว ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงเข้ามาในตัวว่าแม้สุขที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ก็มีขึ้นมีลง เดี๋ยวสุขมากบ้าง เดี๋ยวสุขน้อยบ้าง เดี๋ยวทุกข์มากบ้าง เดี๋ยวทุกข์น้อยบ้าง เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าสุขทุกข์เป็นของติดตัวติดใจตลอดไปเสียได้ ขึ้นอยู่กับจะมีสิ่งใดมากระทบเท่านั้น

เราหลงสำคัญไปว่าความทรงจำต้องฝังอยู่ในหัวตลอดไป เมื่อนึกไม่ออก ระลึกไม่ได้ เราก็ขัดเคืองตัวเอง ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าความทรงจำจะแม่นหรือไม่แม่น ขึ้นอยู่กับแรงประทับลงมาในใจ ถ้าแรงมากก็จำแม่น ถ้าแรงน้อยก็ลืมเร็ว แล้วก็ขึ้นอยู่กับความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของสังขารด้วย ระบบความจำเป็นเรื่องซับซ้อนและไม่เป็นไปตามอำนาจการควบคุมของใคร เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าความจำต้องดีตลอดเสียได้

เราหลงสำคัญไปว่าความคิดอ่านและเจตนาคือตัวเรา ต่อเมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์มากขึ้น เราก็พบว่าความคิดอ่านของเราแตกต่าง เจตนาดีกลายเป็นร้าย เจตนาร้ายกลับเป็นดี พลิกผันกลับกลอกได้ตลอดเวลา ทั้งที่เราก็ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้น ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้ความรู้สึกนึกคิดในแต่ละขณะ ก็ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกร่วมปรุงแต่งเป็นขณะๆ เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าความนึกคิดเป็นตัวเราเสียได้

เราหลงสำคัญไปว่ามีจิตเป็นของเรา มีจิตของเราเป็นผู้รับรู้โลก และจิตนี้เป็นอมตะ ไม่ตายไปตามตัว ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้แต่การรับรู้ทางหูตายามตื่น หรือกระทั่งการรับรู้นิมิตฝันยามหลับ ต่างก็เป็นเพียงการรับรู้ชั่วขณะ รู้สิ่งหนึ่งแล้วหมุนเวียนเปลี่ยนไปรู้อีกสิ่งหนึ่ง เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริงว่า จิตเกิดดับตลอดวันตลอดคืน คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าจิตเป็นบุคคล หรือมีบุคคลอยู่ในจิตเสียได้ เมื่อตัดสินใจว่าจะเจริญสติไปเรื่อยๆ กับทั้งทำสติให้เจริญขึ้นได้สำเร็จจริงๆ คุณไม่ต้องอธิษฐานหวังผลใดๆ ผลก็เกิดขึ้นให้ประจักษ์ใจในปัจจุบัน คุณจะเป็นผู้มีสติอยู่เสมอๆ ไม่ขาดสติเป็นคนเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่านเก่งเหมือนแต่ก่อน คุณจะรับมือกับความทุกข์ได้เกือบทุกสถานการณ์ เพราะสติเต็มตัวจะทำให้รู้สึกกับชีวิตด้วยอีกมุมมองหนึ่ง ที่ต่างไปเป็นคนละมิติ แม้ความทุกข์ก็ถูกรู้ว่าเป็นแค่สภาวะชั่วคราว ไม่ใช่ของจริงแท้ถาวร ใจคุณจึงลดแรงดิ้นรนลง ไม่กระสับกระส่ายเกินเหตุดังเคย
คุณจะรู้สึกถึงความเป็นเหตุเป็นผลของกายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมีความยุติธรรมและสมบูรณ์แบบอยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีใครได้อะไรมาเปล่าๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครได้อะไรมาจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุที่ทำไว้ในอดีตและปัจจุบัน เมื่อต้นเหตุหมดกำลังส่ง สิ่งที่มีอยู่ก็หายไปหมด เราจะชอบหรือไม่ชอบ เสียดายหรืออยากทิ้งขว้าง อย่างไรก็ต้องถึงจุดยุติเข้าสักวัน คุณจะพบว่าบนเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ จำเป็นต้องอ่านและฟังให้มาก และคุณจะรู้สึกว่ารู้มากตอนเริ่มต้น รู้น้อยลงเมื่อศึกษาลึกขึ้น แล้วที่สุดจะไม่นับว่ารู้อะไรเลย หากยังไม่รู้สึกตัวอยู่กับกายใจในบัดนี้ คุณจะตระหนักพบรักแท้ว่ายากแล้ว เหมือนโชคดีเหลือเกินแล้ว แต่ความจริงคือพบทางพ้นทุกข์นั้นยากกว่า และโชคดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะความรักเป็นสิ่งที่เจืออยู่ด้วยความว้าวุ่น และต้องยุติลงด้วยการจากเป็นหรือจากตาย แต่ความพ้นทุกข์มีแต่ความสงบที่เต็มบริบูรณ์ กับทั้งเป็นอมตะอย่างแท้จริง ไม่มีการพรากจากอีกเลย คุณจะเปรียบเทียบเห็นได้ถนัดชัดว่าความรักบังคับให้คุณต้องรอการพิพากษาจากคนที่คุณรักว่า จะเอาด้วยหรือไม่ แต่ความพ้นทุกข์มีตัวคุณคนเดียวเลือกเอง ตัดสินเอง ดุจเดียวกับการตัดสินใจเลือก ว่าจะถ่มเสลดในปากทิ้งเสียทีไหม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคุณล้วนๆ คุณจะเล็งเห็นว่าบนเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ คุณไม่จำเป็นต้องง้อใครให้มาเคียงข้างเป็นกำลังใจ ขอเพียงคุณหนักแน่น สามารถเป็นกำลังใจให้ตนเอง ก็อาจเดินเดี่ยวได้ตั้งแต่ต้นจนสุดสาย

คุณจะย้อนกลับมาเห็นว่ารักแท้เป็นเพียงอีกสิ่งหนึ่งที่ลวงโลกให้สำคัญผิดคิดว่าคุณได้ คิดว่าคุณเสีย แท้จริงคุณไม่เคยได้หรือเสียอะไร เหมือนต่อให้ฝึกฝันร่วมกันสำเร็จ ตื่นขึ้นมาพวกคุณก็จะไม่รู้สึกว่า จะจับฉวยสิ่งใดในฝันไว้เป็นสมบัติได้ โลกความจริงก็เช่นนั้น แม้นานกว่าฝัน ดูจับต้องได้มากกว่าฝัน แต่ก็ไม่ต่างจากฝัน ตรงที่มันต้องเลอะเลือนไป เสื่อมสลายหายสูญไป ก็เมื่อสิ่งใดต้องเลอะเลือน แล้วสาบสูญไป คุณควรอ้างหรือว่าครั้งหนึ่งจับคว้ามันไว้ครองได้? มันนานกว่าคว้าลมก็จริง แต่สาระ แก่นสารมันต่างอะไรจากคว้าลมเล่า?
คุณอาจระลึกชาติได้ หลังจากฝึกรู้ได้แจ่มชัดพอ จนเห็นว่ากายใจนี้ก็เป็นเพียงชาติหนึ่ง ยังมีกายใจก่อนหน้าเรียงเป็นตับ คุณจะพบว่าแต่ละกายใจเป็นเหตุผลของกันและกัน เป็นที่มาที่ไป ในแบบคลี่คลายจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่งอย่างสืบเนื่อง

คุณจะรู้ซึ้งว่าใครที่ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกทำทารุณ ถูกอุบัติภัยพรากคนในครอบครัวให้เหลือตัวคนเดียว ก็ไม่ได้น่าสงสารมากไปกว่าตัวคุณและคนรักเลยสักนิดเดียว เพราะคุณและคนรักก็ถูกอวิชชาลากไปลากมา ขึ้นสวรรค์ลงนรก ถูกมัจจุราชพรากไปจากเหล่าบุคคลที่รัก นับครั้งนับหนไม่ถ้วน บนเส้นทางวิบากกันดารนี้

คุณจะเห็นเป็นภาพรวมว่าชาติก่อนๆ คุณก็สำคัญผิดเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ วินาทีหนึ่งๆ เหมือน ไม่น่าสงสัยเลยว่าตัวเองเป็นใคร แล้วก็เชื่อมั่นว่านี่เป็นตัวคุณ ต้องใช่แน่ๆ ไม่มีตัวอื่น ทั้งที่จริงมีกายใจ เกิดตายสืบเนื่องกันยิ่งกว่าขบวนมดปลวก แต่ละหน้าตา แต่ละอัตภาพ แต่ละชื่อแซ่ แต่ละความรู้สึก ไม่ซ้ำแบบกันเลย คุณอาจเคยเป็นคนแบบเดียวกับที่กำลังเกลียดอยู่เดี๋ยวนี้ หรืออาจเคยเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝัน อยากเป็นนักหนา ทว่าอัตภาพเหล่านั้นก็สูญสลายไปหมด ถูกหลงลืมไปหมด และคลี่คลายกลายมาเป็น ‘ตัวนี้’ ที่จำอะไรเกี่ยวกับอดีตชาติไม่ได้เลย

คุณจะเห็นว่าคู่รักเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะคู่ของคุณหรือคู่ของคนอื่น ไม่มีใครเป็นคู่ใครจริงชนิด ไม่แยกจากกันตลอดไป และพวกเขาก็ตกอยู่ในวังวนแห่งความเกิดตายอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนๆกับคุณ กามและบุญบาปอันเคยทำร่วมกัน ดึงดูดให้มาพบกัน จะยาวนานหรือแสนสั้นก็ขึ้นอยู่กับแรงส่งเก่าและสายใยใหม่ สำคัญคือช้าเร็วต้องจากกันแน่

คุณจะเห็นตัวเองยกระดับการรับรู้ ทราบชัดว่าจินตนาการและคลื่นความปรุงแต่งในหัวนั่นแหละ คือความฝัน การมีชีวิตมนุษย์ที่คุ้มที่สุด คือโอกาสได้รู้สึกถึงลมหายใจ รู้สึกถึงกาย รู้สึกถึงจิต รู้จริงว่า เหล่านั้นไม่ใช่เรา เพราะเฝ้ามองกายใจจนเห็นว่ามันเป็นเพียงเครื่องล่อให้ยึด แท้จริงมีความไม่เที่ยง ไม่อาจทนได้ เพราะไม่ใช่ตัวตน ความรู้สึกในตัวคุณจะหายไป และกลายเป็นรสแห่งจิตอันบริสุทธิ์จากความหลงผิดไปแทน

คุณจะเล็งเห็นว่าคู่รักที่ชักชวนกันเจริญสติ นับเป็นความโชคดีของกันและกันอย่างใหญ่หลวง ที่มาพบกัน อาจจะเทียบเท่ากับพบพระอรหันต์ เพราะแม้พระอรหันต์จะสว่างประดุจแสงอาทิตย์ แต่ก็ไม่อาจช่วยดูแลเป็นแรงบันดาลใจให้พวกคุณพากันเจริญสติได้ในเวลากลางคืน ส่วนพวกคุณ แม้เป็นแสงเทียน ก็ยังส่องสว่างในความมืดให้แก่กันและกันได้ตลอดเวลา

คุณค่าสูงสุดของรักแท้ คือการมีกันและกันให้สติบนเส้นทางขึ้นสูง จนกว่าจะถึงความสิ้นทุกข์ที่ยอด คือนิพพาน การพากันรักนิพพานนั่นแหละคือรักอันเหนือรักอย่างแท้จริง มีแต่ได้กับได้ เพราะแม้ยังไปไม่ถึงฝั่ง อย่างน้อยที่สุดพวกคุณก็ได้ชื่อว่ารักจะเป็นสุข มิใช่รักจะเป็นทุกข์เยี่ยงคนหลงทาง หาทางออกยังไม่เจอ.

ท้ายบท

หวังว่าบทนี้และเนื้อหาของหนังสือทั้งเล่ม คงช่วยให้คุณเห็นความจริง และทางเลือกทั้งหมดที่เกี่ยวกับรักแท้ เมื่อเห็นความจริงและทราบว่ามีทางเลือกมากกว่าที่คิด โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือถามตัวเองว่า ทุกวันนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ ต่อสู้เพื่อรักอันเป็นทุกข์หรือเพื่อรักอันเป็นสุข
สำหรับงานเขียนอื่นๆทั้งหมดที่ผ่านมาของผม ซึ่งมีตั้งแต่นวนิยายรักสนุกๆ ไปจนกระทั่งวิธีเจริญสติ อย่างละเอียด ตลอดจนนิตยสารรายปักษ์ 'ธรรมะใกล้ตัว' สามารถเข้าไปอ่านได้ฟรีที่ http://dungtrin.com/
ส่วนเว็บที่เน้นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรักโดยตรง ขอแนะนำเว็บแสงดาวส่องทาง ซึ่งเหมาะ ตั้งแต่สำหรับวัยรุ่นที่ยังวุ่นอยู่กับรัก ไปจนถึงวัยทำงานที่เข้าสู่ช่วงของการใช้ชีวิตคู่แล้ว http://star4life.com/
และหากต้องการแลกเปลี่ยนความเห็น ถามไถ่หรือสนทนาประสาธรรม ขอเชิญที่ 'ลานธรรมเสวนา' http://larndham.net/

การแก้กรรม

การลดกรรม 15 อย่าง ( ควรอ่านอย่างยิ่ง) มาทำความดี ละเว้นความชั่วกันดีกว่า
1. กรรมที่ไม่มีลูก กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ มูลนิธิเด็กอ่อน
2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์ ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต
3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด
4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ 5. สูญเสียคนใกล้ชิด กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา
6. ถูกนินทา ถูกให้ร้าย กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข
7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ ธรรมะแจกจ่ายฟรี
8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้ 9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย
10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้
11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ขาดเสน่ห์ กรรมจากไม่เคยถวายของหอม ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด
12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี
13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วยสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก
14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์
15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนาถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะจากคนสู้กิเลส

ธรรมะจากคนสู้กิเลส

หนักแน่น เข้าไว้โดย ขอตามรอยท่านพ่อ
ข้าพเจ้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่โชคดี ตรงที่ตั้งแต่เด็กมาคุณแม่จะสอนให้หมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ และทำทานเสมอ พอโตขึ้นมาหน่อยก็ได้กัลยาณมิตรที่ดีที่ชี้แนะธรรมะดีๆ หลายอย่างให้ปฏิบัติ สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้คือการตั้งใจที่จะรักษาศีลห้าให้ได้ แต่อย่างโบราณท่านว่าไว้ ตั้งใจจะทำสิ่งใด สิ่งนั้นจากที่เคยดูเหมือนง่ายก็กลับกลายเป็นยาก เหมือนมีมารผจญ
แต่ก่อนเคยถามตัวเองว่าศีลข้อไหนที่มั่นใจว่ารักษาได้ง่ายที่สุด ตอบทันใจทันทีแบบไม่ต้องคิดว่า “ข้อสาม” เนื่องจากว่าพื้นฐานนิสัยเป็นคนไม่ค่อยสนใจเพศตรงข้าม กับทั้งประกอบด้วยรูปลักษณ์ของตัวเอง ก็ต้องยอม รับกันตามตรงแบบภาษาชาวบ้านว่า “ขี้เหร่” จึงคิดว่าคงไม่มีใครมาแลเหลียวให้ต้องไปมีอันแย่งชิงกับใคร แต่เมื่อตั้งใจรักษาศีลไปซักระยะหนึ่ง ก็มีเหตุให้ต้องวัดใจกันว่าจะไปรอดหรือไม่รอด
คือเมื่อข้าพเจ้าย่างเข้าวัยรุ่นตอนกลาง อายุประมาณ ๒๕ ปี ก็มีโอกาสได้เจอเพศตรงข้ามที่ถูกใจและไม่มีพันธะ จึงได้คบหาดูใจกันและตกลงเป็นแฟนกันมาเป็นระยะเวลา ๘ ปี จนถึงปีที่ ๙ ที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้มีการคุยกันเรื่องการแต่งงานของเราทั้งสองคนและได้มาทาบทามสู่ขอ และมีกำหนดที่จะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งมันควรจะทำให้ข้าพเจ้าดีใจ ที่อุตส่าห์คบกันมา เกือบ ๙ ปีก็จะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากับเค้าเสียที ไม่เสียแรงที่คบกันมา
แต่ก็มีเหตุให้ข้าพเจ้าไม่มีความยินดี แถมพกมาด้วยความวุ่นวายใจเป็นยิ่งนัก นั่นก็คือ ในช่วงปีท้ายๆ ของการคบกัน ข้าพเจ้าได้มีแอบปันใจให้กับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเค้าก็มีแฟนตัวจริงเสียงจริงของเค้าอยู่แล้ว รู้ทั้งรู้ก็ยังอยากจะดันทุรัง ทำยังไงได้ตอนนั้นกิเลสมันพาให้หลงผิดเข้าข้างตัวเองว่า ขนาดแต่งงานกันแล้วก็ยังเลิกกันได้ นับประสาอะไร กับแค่เป็นแฟน ตอนนั้นไม่รู้อะไรทำให้หลงผิดคิดไปได้เช่นนั้น ประกอบกับฝ่ายนั้นก็มีใจสัมพันธ์กับข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน (ภาษาสมัยรุ่นสมัยนี้เค้าเรียกว่า “กิ๊ก”) จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการกระอักกระอ่วนใจมากกว่าที่จะยินดีหรือดีใจที่จะได้แต่งงาน และข้าพเจ้าเองก็ไม่กล้าบอกกับแฟน ได้แต่คิดในใจว่าข้าพเจ้าจะพยายามจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด โดยคิดว่าในเมื่อฝั่งโน้นก็มีเจ้าของแล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้าอีกไม่เกิน หนึ่งเดือนก็จะแต่งงานมีคู่แล้ว หากยังสานสัมพันธ์กันต่อไปโอกาสที่จะล่วงละเมิดต่อกัน คงมีสูงมาก เพราะกิเลสมันไม่เข้าใครออกใครเสียด้วย จึงคิดตัดสินใจเด็ดขาดที่จะยุติความสัมพันธ์นั้นเสีย
แต่ให้ตายเถอะ คิดเอาน่ะ มันแสนง่าย แต่เวลาทำจริงนี่สิใจแทบขาด จำได้ว่า ความรู้สึกตอนนั้นมันทรมานมาก ที่จะไม่พูด ไม่มองหน้า และได้แจ้งกับฝ่ายโน้นว่าข้าพเจ้าจะแต่งงานในไม่ช้านี้ ซึ่งทำให้เค้าผิดหวังอย่างมากทีเดียว แต่ก็เหมือนเค้าจะไม่ยอมยุติความสัมพันธ์นั้นง่ายๆ ข้าพเจ้าเองก็กลัวว่าจะตัดใจจากเค้าไม่ขาดเช่นกัน ด้วยเหตุที่ว่าเพิ่งคบกัน มันก็เหมือนข้าวใหม่ปลามัน และยิ่งมีความสัมพันธ์แบบหลบซ่อนยิ่งทำให้ตื่นเต้นเร้าใจ คล้ายอาหารรสชาติแสนอร่อยให้เลิกกินคงยากนัก แต่ด้วยใจที่ตั้งมั่นไว้ว่าจะไม่ยอมผิดศีลเด็ดขาดเพราะใจลึกๆ ก็รู้สึกตัวว่ากำลังมีเงาดำปกคลุมในใจ ศีลถึงไม่ขาดก็เริ่มด่างพร้อยแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานคงจะทะลุแน่หากยังอยู่เห็นหน้ากัน ทำงานด้วยกันเช่นนี้ทุกวัน จึงตัดสินใจลาออกจากงานอย่างกะทันหัน พอดีที่ข้าพเจ้าได้งานใหม่ในทันทีที่ลาออก จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่พบเจอเค้าอีกเลย
จริงๆ เรื่องก็ควรจบ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าใครเคยได้ยินคำโบราณท่านว่าไว้ว่าอย่าเล่นกับไฟ ไฟจะไหม้มือ ฉันใด ก็เช่นกัน อย่าเล่นกับความหลงเพราะความหลงจะกินหัวเอา (เวลานั้นเข้าใจว่าเป็นความรัก) ข้าพเจ้ากลับยิ่งมีความทุรนทุรายใจมากกว่าเดิม ทั้งเสียใจที่ลาออกจากงาน ทั้งเสียใจที่ตกลงแต่งงานมีครอบครัวกับสามี(ปัจจุบัน) ที่แสนดี(ที่เพิ่งคิดได้) ไปทำงานที่ใหม่ก็ไม่ได้งานได้การ เสียใจมากจนร้องไห้ทุกวันแต่พยายามอย่างมากที่จะข่มใจไม่โทรหา แต่ก็เหมือนใจเราตรงกัน เค้ากลับเป็นคนโทรมาหาเอง ทำให้ข้าพเจ้าดีใจ จนลืมตัวรับโทรศัพท์ แล้วก็มีความสุขกับการได้พูดคุย เจ๊าะแจ๊ะ แต่หลังจากวางสายนี่สิ อาการตามมาด้วยความเศร้าอย่างมากมาย เรียกว่าถ้าใครเคยเศร้าเพราะความรักไม่สมหวัง เช่นไรก็เช่นนั้นทีเดียว อกไหม้ไส้ขม เป็นอย่างที่คนโบราณว่าไว้
แต่ก่อนไม่เข้าใจ แต่มาซึ้งกับคำที่ว่านี่ก็ครั้งนี้เลย เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ความรู้สึกมีแต่ความรุ่มร้อน แผดเผาอยู่ภายในตลอดเวลา กินไม่ได้ นอนไม่ได้ คิดถึงชู้ทางใจ(คนนั้น) ทั้งวันทั้งคืน พยายามหาธรรมะเข้าข่มสุดฤทธิ์ก็เอาไม่อยู่ พยายามอ่านหนังสือธรรมะหาวิธีดับทุกข์ในใจก็ทำไม่ได้ อ่านก็ไม่รู้เรื่อง ธรรมะที่เคยปฏิบัติมาแต่น้อยเป็น อันหายสาบสูญไปหมด ช่วงเวลานั้นมันมืดมน รู้ตัวว่ากำลังทำผิด รู้ดี แต่จะหยุดก็ทำไม่ได้ สู้กันภายในใจระหว่างความถูกต้องดีงามกับความต้องการส่วนลึกของใจ ที่กำลังจะฝืนไม่ไหว ทรมานอยู่เช่นนี้เป็นเวลา ๓ เดือนเต็มๆ ระหว่างนี้ข้าพเจ้าก็ เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกของลานธรรมเสวนา อ่านกระทู้ต่างๆ เพื่อหาอะไรก็ได้มาฉุดมาดึงตัวเองไว้ ดิ้นรนสุดๆ จนในที่สุดหลังจากที่ใจทรมานมา ๓ เดือนเกือบ ๔ เดือน ก็ไปสะดุดกับธรรมะของครูบาอาจารย์ จาก กระทู้นี้ http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005026.htm ว่า
“สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยว เกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย"
โอ! พออ่านจบเท่านั้นแหละ วลี ที่ผุดในความคิดของข้าพเจ้า ณ เวลานั้น คือ เออจริงด้วย เพราะตอนนั้นตรงกับอาการข้าพเจ้าพอดิบพอดี ข้าพเจ้าเหมือนมีคนมาจุดไฟนำทาง มองเห็นกระจ่างชัดในความมืด แจ้งเข้าไปถึงใจว่าที่ผ่านมาข้าพเจ้าสำคัญมั่นหมาย พยายามยื้อยุดสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะให้หวนคืน จะให้ตัวเองกลับไปเป็นโสด กลับไปก่อนแต่งงาน จะให้ตัวเองได้กลับไปทำงานที่เดิมอีกครั้งเพื่อจะได้พบคนๆนั้นอีก แต่ไม่ได้หันมองที่ปัจจุบัน ไม่ยอมรับปัจจุบันกาลที่เป็นอยู่ จึงทุกข์สาหัสสากรรจ์เนิ่น นาน เมื่อแจ้งแก่ใจ เหมือนใจมันเบาขึ้น โล่งโปร่ง เบาโหวง แต่อย่างว่าพิษ(หลง)มันฝังลึก ไอ้ครั้นอ่านธรรมะประโยคเดียวจะถอนพิษทั้งหมดได้ มันไม่ง่ายขนาดนั้น แต่ต้องอาศัยกำลังกาย กำลังใจ ทุกครั้งที่ใจลอยคิดไปถึงเค้าคนนั้นจนจะก่อร่างสร้างจินตนาการขึ้นมา ข้าพเจ้าก็จะคิดถึง คำสอน ประโยคข้างบนของครูบาอาจารย์ทุกครั้ง ใจก็จะหยุดประหวัดคิดถึงเค้า ก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ เป็นช่วงๆ อย่างนี้ไปตลอดเวลา
ผ่านไปอีก ๓ เดือน จนใจของข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าคิดถึงเค้าน้อยลง ก็เออนะ มันก็ไม่เที่ยง เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง และเริ่มมีกำลังใจว่า ๓ เดือนผ่านไปคิดถึงเค้าน้อยลง งั้นอีก ๓ เดือนข้างหน้าก็มีหวังตัดใจได้ (ถ้าเลิกย้ำคิด ให้จิตอยู่กับปัจจุบัน ให้ระลึกถึงอยู่กับปัจจุบันใส่ใจอยู่กับปัจจุบันไม่ว่าจะทำงาน หรือทำอย่างอื่นก็ให้อยู่กับสิ่งที่ กำลังทำอยู่) จนเมื่อครั้งล่าสุดเค้าคนนั้นโทรมาตอนสิ้นปีที่ผ่านมาเพื่อชวนไปทานอาหารกัน สองต่อสอง ข้าพเจ้าบอกว่าอยากให้ชวนเพื่อนคนอื่นไปด้วย แต่เค้าบอกว่าอยากสวีทกับข้าพเจ้าแค่สองคน จึงคิดในใจว่ามาแระ(แล้ว) รู้ทันและรู้ตัว ไม่หลงไปแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนคงหลงรับคำ สรรหาเสื้อผ้า แต่งให้ดูสวยงาม แล้วก็แปลกแต่จริง ที่ข้าพเจ้าทำได้ ข้าพเจ้าสามารถบอกปฏิเสธได้โดยไม่เหลือความอาลัย และไม่ได้ยินดีปรีดา อย่างแต่ก่อนเลย และสามารถวางเค้าไว้ ในสถานะของอดีตเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งได้
บางครั้งข้าพเจ้าก็ถามตัวเองว่า เราปฏิบัติธรรมเรื่อยๆไปทำไม ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย แต่เมื่อมีเหตุการณ์มาทดสอบนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าการปฏิบัติธรรมมีประโยชน์มหาศาล และถ้าเราผ่านไปได้นั่นหมายถึง เราได้ห่างไกลจากบาปเวร และห่างจากปากหลุมแห่งอบายภูมิ แถมพกความภูมิใจ เวลาเดินก็ยืดอกได้อย่างสง่างาม ไม่ต้องคอยระแวงว่าใครจะรู้เรื่องความชั่วของเรา ดังคำโบราณ(หนังจีน)ว่าไว้ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน เมื่อไม่ได้ผิดลูกเขา สามีเขา ภรรยา หรือสิ่งอันเป็นที่รักของใคร และรู้สึกอุ่นใจว่าอย่างน้อย ณ เวลานี้เราก็ปลอดภัยจากภัยเวรนี้ได้

ธรรมะจากพระผู้รู้

ถาม : การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน สามารถแก้กรรมได้มั้ยคะ
ตอบ : กรรมที่ทำแล้วแก้ไขไม่ได้นะ แต่มันแก้กรรมใหม่ได้ เช่น เดินๆไป โดนเขาด่า ถูกเขาด่า นี่เป็นกรรมเก่า แก้ไม่ได้ จะไปแก้ยังไงในชาติก่อนเราทำกรรมใหม่ที่ดี ถูกเขาด่า แล้วเราก็รู้ทันใจที่โกรธ เราก็ไม่โกรธตอบนะ อยากด่าก็เชิญด่าไป เดี๋ยวมันก็เลิกไปเอง
เพราะฉะนั้น เราชาวพุทธไม่ยุ่งกับกรรมเก่านะ ชาวพุทธเราทำกรรมใหม่ที่ดีกรรมเก่านี้ส่งผลให้เราต้องเจอปรากฏการณ์ในปัจจุบัน เมื่อเจอปรากฏการณ์ปัจจุบันแล้วมีสติมีปัญญา เราได้ทำกรรมใหม่ที่ดีกรรมเก่าที่เลวก็จะค่อยๆถูกบั่นทอนหมดกำลังไปเอง ในที่สุดกรรมใหม่ที่ดีนั้น จะมีพลังแรง แล้วก็ทำลายผลของกรรมเก่าไม่ใช่ทำลายตัวกรรมเก่านะ ทำลายการให้ผลของกรรมเก่าไป เช่น เขาด่าเราหลายวันแล้ว เราก็ใจเย็นยิ้มกับเขาไปเรื่อยๆนะ วันหนึ่งเขาก็เลิกด่า มันหมดกรรมเก่าแล้ว หมดเพราะเราไม่ทำกรรมใหม่
ชาวพุทธอย่าไปเล่นเรื่องกรรมเก่านะ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรของชาวพุทธนี่ชื่อว่า ชนกกรรม (ชะ-นก-กำ) คือ กรรมที่บันดาลให้เรามีกายมีใจอันนี้มา นี่แหละ คือเจ้ากรรมนายเวรของเราตัวจริงเมื่อเรามีกายมีใจอันนี้มาแล้ว เราจะใช้กายนี้ใจนี้ ก่อกรรมทำชั่วก็ได้เราจะใช้กายนี้ใจนี้ มาพัฒนาตัวเองก็ได้ มาทำกรรมใหม่ที่ดีหรือที่เลว
เพราะฉะนั้น เราฝึกนะ มีสติรู้กายรู้ใจ เราทำกรรมใหม่ที่ดีไปเรื่อยๆ แล้วชีวิตเราจะดีขึ้น
อย่างหลายบ้านนะมีปัญหาในครอบครัว ง้องแง้งๆตลอดเลยนะ มาหัดภาวนาสักคนหนึ่ง สามีหรือภรรยาอะไรนี่มาหัดสักคนหนึ่ง แต่เดิมภรรยานะ ขี้บ่นมากเลย สามีก็เลยทนอยู่ในบ้านไม่ได้ หนีออกบ้านไปเรื่อย ไปมีอีหนู อีหนูมันไม่บ่นนะ ต่อมานี่ ภรรยามาหัดดูของตัวเองเรื่อยๆ ปากเริ่มหุบลงเรื่อยๆ อ้าช้าขึ้น ใจก็สงบ ใจก็ร่มเย็น หน้าตาผ่องใสขึ้นๆ สามีกลับบ้านเลยนะ นี่เสน่ห์ร้ายแรงเลยฉะนั้น หัดเจริญสตินะ จะสวยกว่าเก่า จะสาวกว่าเก่า นี่แก้กรรมแบบนี้นะ แก้กรรมของชาวพุทธ คือทำกรรมใหม่ที่ดี ไม่ใช่พยายามไปล้างกรรมเก่าที่ไม่ดีที่ผ่านมาแล้วเพราะของที่ผ่านมาแล้วทำอะไรไม่ได้ ใช้ปัจจุบันให้ดีที่สุด นี่แหละ คือทางแก้กรรมของชาวพุทธ
ความจริงไม่มีการแก้กรรมหรอก กรรมทั้งหลายให้ผลมาถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องหมดผล ต้องสลายตัวไป แต่ถ้าเราทำกรรมใหม่ที่มีกำลังเข้มแข็งนะกรรมใหม่ที่มีกำลังเข้มแข็งมันให้ผลขึ้นมา มันแทรกขึ้นมา มันแซงขึ้นมาอิทธิพลของกรรมเก่าที่ไม่ดีก็สลายตัวไป ไม่ใช่ว่าไปล้างกันนะ ไม่ใช่กรรมใหม่ กรรมดี ไปล้างกรรมชั่ว ไม่ใช่ ยกตัวอย่างนะ อย่างพระองคุลีมาล ฆ่าคนเยอะแยะใช่มั้ย พอท่านเป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์นี่กรรมที่ท่านฆ่าคนมันก็ยังอยู่ แก้ไม่ได้ เพราะฆ่าไปแล้ว แต่กรรมใหม่ของท่านดี ท่านบรรลุพระอรหันต์ เป็นกรรมดีที่ยิ่งใหญ่ท่านไม่ต้องไปตกนรกอีกแล้ว นี่แก้กรรมกันแบบนี้นะ ไม่ใช่แก้อย่างอื่น ไม่ใช่ถอดจิตไปเจรจากับผีตัวที่หนึ่งที่ฆ่าไว้ว่า ขออโหสินะ เอ้า ตัวที่หนึ่งยอม ตัวที่สองทำยังไงจะยอม กว่าจะหมดพันตัวท่านคงไม่ได้เป็นพระอรหันต์นะ
ใช้ปัจจุบันให้ดีที่สุดนะ