วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การทำบุญให้ทาน

ถ้าบุคคลจะทำบุญพึงทำบ่อย ๆ ควรทำความพอใจในบุญนั้น เพราะการสั่งสมบุญเป็นเหตุให้เกิดสุข

พระพุทธภาษิต

อภัยทาน

พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ อภัยทาน ดังนั้น ถ้าผู้ใดทำผิดแล้วไม่ขอโทษ ท่านปรับอาบัติ แต่ถ้าเขาขอโทษแล้ว ผู้ถูกขอโทษไม่ให้อภัย ท่านปรับอาบัติเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อมีผู้มาขอโทษ เราควรให้อภัย

อีกประการหนึ่ง อภัย แปลว่า ไม่มีภัย ท่านจึงสอนให้เราไม่เบียดเบียนใคร นับเป็นอภัยทานด้วย

และการแผ่เมตตาจิตให้แก่ทุกคน สรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นการแผ่อภัยทานออกไป ทำให้เกิดความสุข

การให้อภัยเป็นของฟรี แต่ให้ยาก หากถ้าเราฝึกบ่อย ๆ เมตตาแก่ทุกคนว่าเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในสังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิดนี้ แล้วจิตใจของเราจะอ่อนโยนลง สุขสงบ และให้อภัยได้

พระพุทธเจ้าทรงแสดง สุขสมุทัย เหตุแห่งสุข ๓ อย่าง
๑. พึงให้ทาน คือช่วยเหลือกัน
๒. พึงสุจริต ประพฤติสุจริต
๓. พึงเจริญเมตตาจิต

รวมแล้วมี ๓ อย่าง ข้อแรกคืิอทาน สุจริตคือศีล เจริญเมตตาจิตคือ ภาวนา ทำครบ ๓ อย่างแล้วจะมีความสุข

การทำสังฆทาน

สังฆทาน คือ การถวายสิ่งของแก่พระภิกษุสงฆ์ โดยไม่เจาะจงว่าจะเป็นพระรูปใด

การให้โดยเจาะจงว่าเป็นพระรูปนั้น ๆ เรียกว่า ปาฏิปุคลิกทาน ได้บุญเหมือนกัน แต่ได้บุญน้อยกว่าสังฆทาน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทานที่ให้เจาะจง เรากล่าวว่าเป็นปาฏิปุคลิกทาน ปาฏิปุคลิกทานใด ๆ จะมีผลเท่าสังฆทานไม่ได้เลย"

เมื่อเราไม่ได้เจาะจงพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะแล้ว ก็ถือเป็นสังฆทานทั้งสิ้น เรียกว่ามีการเจาะจงหรือไม่เจาะจงเป็นใจความสำคัญของสังฆทาน

ตอนเช้า ตักบัตรให้พระ ๑ รูป ที่บิณฑบาตผ่านมา ก็เป็นสังฆทาน
ตอนสาย ไปวัด หย่อนเงินลงตู้ทำบุญค่าน้ำค่าไฟ ก็เป็นสังฆทาน เพราะให้พระใช้ได้ทั้งวัด ไม่เลือกพระองค์ใด
ตอนเพล พระนั่งล้อมวงเป็นร้อยรูป ญาติโยมไปใส่บาตรให้ท่าน ๓ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง หรือทั้งร้อย ก็เป็นสังฆทาน

อยากทำบุญด้วยผ้าไตรสักชุดหนึ่ง ก็จัดเตรียมแล้วไปหาพระ เมื่อพบองค์ใดก็ถวายท่าน ก็สำเร็จเป็นสังฆทาน

สังฆทาน อยู่ที่เจตนาเจาะจงหรือไม่เจาะจง ไม่ได้อยู่ที่จำนวนพระ และไม่ได้อยู่ที่รายชื่อสิ่งของ บางคนคิดว่าการถวายสังฆทาน คือต้องเป็นถังสีเหลือง ใส่ข้าวสาร ผงซักฟอก ไม่ขีัดไฟ สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ นั้นเป็นเพียงของสำเร็จรูปที่คนค้าขายเขาจัดไว้ให้เพื่อขายเท่านั้น ปัจจุบันข้าวของเครื่องใช้บางทีมีมากมายจนล้นเหลือ พระไม่ได้ใช้ บุญก็ไม่เกิดแก่ผู้ให้ แต่พระต้องใช้น้ำใช้ไฟ การจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ายารักษาโรค จึงเป็นบุญ เพราะมีประโยชน์แก่พระสงฆ์โดยรวม

ในการทำสังฆทาน ท่านสอนให้เรา "ทำใจให้ยินดีในบุญกุศล ไม่ให้ยินดีในบุคคลผู้รับ ทำใจให้ตรงแน่วต่อคุณของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ทานอย่างนี้มีผลมาก เพราะเป็นการขัดเกลาจิตใจของตนไปด้วย" ที่ท่านสอนเช่นนี้ เพราะเราชอบมัวแต่ละล้าละลัง กังวลว่าผู้รับจะดีหรือไม่อย่างไร คือกลัวมาทำให้บุญเรามีตำหนินั่นแหละ (ที่แท้ก็รักตัวเอง) เลยเศร้าหมอง ท่านจึงสอนให้เพ่งที่ได้ทำบุญกุศล ได้ขัดเกลาจิตใจตนเองเป็นหลัก

1 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมาก ได้ความรู้ดี และได้รู้ในสิ่งที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่ถ่้ายทอดบทความลงในบล็อกนี้

    ตอบลบ